Translate

Total Pageviews

The story of Queen Samawadee

เรื่องพระนางสามาวดี



๒. อัปปมาทวรรควรรณนา


๑. เรื่องพระนางสามาวดี [๑๕]ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่ออาศัยกรุงโกสัมพี ประทับอยู่ที่โฆสิตาราม ทรง
ปรารภความวอดวายคือมรณะ ของหญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็น
ประธาน และของญาติ ๕๐๐ ของพระนางมาคันทิยานั้น ซึ่งมีนางมา-
คันทิยาเป็นประธาน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อปฺปทาโท อมตํ
ปทํ" เป็นต้น ในเรื่องนั้น มีอนุปุพพีกถา ดังต่อไปนี้ :-
กษัตริย์ ๒ สหาย
ในกาลล่วงมาแล้ว พระราชา ๒ องค์ เหล่านี้ คือ " ในแคว้น
อัลลกัปปะ พระราชาทรงพระนามว่า อัลลกัปปะ, ในแคว้นเวฏฐทีปกะ
พระราชาทรงพระนามว่า เวฏฐทีปกะ" เป็นพระสหายกัน ตั้งแต่เวลา
ยังทรงพระเยาว์ ทรงศึกษาศิลปะในสำนักอาจารย์เดียวกัน โดยล่วง
ไปแห่งพระราชบิดาของตน ๆ ได้ให้ยกเศวตฉัตรขึ้นแล้ว ทรงเป็นพระ-
ราชาในแคว้น มีประมาณแคว้นละ ๑๐ โยชน์. พระราชา ๒ พระองค์
นั้น เสด็จมาประชุมกันตลอดกาลตามกาล (ตามกาลอันสมควร) ทรง
ยืน, นั่ง, บรรทม ร่วมกัน ทอดพระเนตรเห็นมหาชน ผู้เกิดอยู่และ
ตายอยู่ จึงทรงปรึกษากันว่า " ชื่อว่า ผู้ตามคนผู้ไปสู่ปรโลก ไม่มี,

โดยที่สุดถึงสรีระของตน ก็ตามไปไม่ได้, ต้องละสิ่งทั้งปวงไป, ประโยชน์
อะไรด้วยการอยู่ครองเรือนของเรา, เราจักบวช" ดังนี้แล้ว ทรงมอบ2
รัชสมบัติ ให้แก่พระโอรสและพระมเหสี ออกผนวชเป็นพระฤษี อยู่
ในหิมวันตประเทศ ได้ทรงปรึกษากันว่า " พวกเราไม่อาจเพื่อเป็นอยู่
จึงละราชสมบัติออกบวชก็หาไม่, เราเหล่านั้น เมื่ออยู่ในที่แห่งเดียวกัน
ก็จักเหมือนกับผู้ไม่บวชนั้นเอง, เพราะฉะนั้น เราจักแยกกันอยู่: ท่าน
จงอยู่ ที่ภูเขาลูกนั้น, เราจักอยู่ที่ภูเขาลูกนี้; แต่จักรวมกัน ในวันอุโบสถ
ทุกกึ่งเดือน." ครั้งนั้นพระดาบสทั้งสองนั้น เกิดมีความดำริขึ้นอย่างนี้ว่า
" แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ ความคลุกคลีด้วยคณะเทียว จักมีแก่เราทั้งหลาย,
ท่านพึงจุดไฟให้โพลงขึ้นที่ภูเขาของท่าน, เราก็จักจุดไฟให้โพลงขึ้นที่
ภูเขาของเรา; ด้วยเครื่องสัญญานั้น เราทั้งหลาย ก็จักรู้ความที่เรายังมี
ชีวิตอยู่." พระดาบสทั้งสองนั้นกระทำอย่างนั้นแล้ว.

เรียนมนต์และพิณ
ต่อมาในกาลอื่น เวฏฐทีปกดาบส ทำกาละ บังเกิดเป็นเทพเจ้า
ผู้มีศักดิ์ใหญ่. แต่นั้น ครั้นถึงกึ่งเดือน อัลลกัปปดาบส พอแลไม่เห็น
ไฟ ก็ทราบได้ว่า " สหายของเรา ทำกาละเสียแล้ว." แม้เวฏฐทีปก-
ดาบส ตรวจดูทิพพสิริของตนในขณะที่เกิด ใคร่ครวญถึงกรรม เห็น
กิริยาที่ตนกระทำ จำเดิมแต่ออกบวชแล้ว คิดว่า " บัดนี้ เราจักไป
เยี่ยมสหายของเรา" ในขณะนั้น จึงละอัตภาพนั้นเสีย เป็นเหมือน
คนหลงทาง ไปยังสำนักของอัลลกัปปดาบสนั้น ไหว้แล้ว ได้ยืนอยู่ ณ
ที่สมควรแห่งหนึ่ง.

ลำดับนั้น อัลลกัปปดาบสนั้น จึงกล่าวถามบุรุษนั้นว่า
"ท่านมาจากไหน ?"
บุรุษ. ท่านผู้เจริญ ผมเป็นคนหลงทาง เดินมาจากที่ไกลเหลือเกิน,
ก็พระผู้เป็นเจ้า อยู่รูปเดียวเท่านั้น ในที่นี้ หรือ ? มีใครอื่นบ้างไหม ?
อัลละ. มีสหายของเราอยู่ผู้หนึ่ง.
บุรุษ. ผู้นั้น ไปอยู่ที่ไหนหรือ ?
อัลละ. เขาอยู่ที่ภูเขาลูกนั้น. แต่วันอุโบสถ เขาไม่จุดไฟให้โพลง,
เขาจักตายเสียแล้วเป็นแน่.
บุรุษ. เป็นอย่างนั้นหรือ ขอรับ ?
อัลละ. ผู้มีอายุ เป็นอย่างนั้น.
บุรุษ. กระผมคือผู้นั้น ขอรับ.
อัลละ. ท่านเกิดที่ไหน ?
บุรุษ กระผมเกิดเป็นเทพเจ้า ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ในเทวโลกขอรับ,
มาอีก ก็ด้วยประสงค์ว่า ' จักเยี่ยมพระผู้เป็นเจ้า' เมื่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่
ในที่นี้ อุปัทวะอะไร มีบ้างหรือ ?
อัลละ. เออ อาวุโส, เราลำบาก เพราะอาศัยช้าง.
บุรุษ. ท่านผู้เจริญ ก็ช้างทำอะไรให้ท่านเล่า ?
อัลละ. มันถ่ายคูถลงในที่กวาด, เอาเท้าประหารคุ้ยฝุ่นขึ้น;
ข้าพเจ้านั้น คอยขนคูถช้างทิ้ง คอยเกลี่ยฝุ่นให้เสมอ ก็ย่อมลำบาก.
บุรุษ. พระผู้เป็นเจ้าปรารถนาจะไม่ให้ช้างเหล่านั้นมาไหมเล่า ?
อัลละ. เออ อาวุโส.
บุรุษ ถ้ากระนั้น กระผมจักทำไม่ให้ช้างเหล่านั้นมา ได้ถวายพิณ

สำหรับให้ช้างใคร่ และสอนมนต์สำหรับให้ช้างใคร่ แก่พระดาบสแล้ว:
ก็เมื่อจะให้ ได้ชี้แจงสายพิณ ๓ สาย ให้เรียนมนต์ ๓ บท แล้วบอกว่า
" เมื่อดีดสายพิณสายนี้ ร่ายมนต์บทนี้แล้ว, ช้างไม่อาจแม้เพื่อจะหันกลับ
แลดู ย่อมหนีไป; เมื่อดีดสายพิณสายนี้ ร่ายมนต์บทนี้แล้ว ช้างจะกับ
เหลียวดูเบื้องหลังพลางหนีไป: เมื่อดีดสายพิณสายนี้ ร่ายมนต์บทนี้แล้ว
ช้างนายฝูง ย่อมน้อมหลังเข้ามาหา," แล้วกล่าวว่า "สิ่งใด อันท่าน
ชอบใจ, ท่านพึงทำสิ่งนั้นเถิด." ไหว้พระดาบสแล้ว ก็หลีกไป.
พระดาบส ร่ายมนต์บทสำหรับไล่ช้าง ดีดสายพิณสำหรับไล่ช้าง
ยังช้างให้หนีไปอยู่แล้ว.

พระเจ้าอุเทนกับหัสดีลิงค์
ในสมัยนั้น ในกรุงโกสัมพี ได้มีพระะราชาทรงพระนามว่าพระเจ้า
ปรันตปะ วันหนึ่ง พระเจ้าปรันตปะทรงนั่งผิงแดดอ่อนอยู่ที่กลางแจ้ง(๑ )
กับพระราชเทวี ผู้ทรงครรภ์. พระราชเทวี ทรงห่มผ้ากัมพลแดงอันมี
ราคาแสนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระภูษาทรงของพระราชา ทรงนั่งปราศรัยกับ
พระราชา ถอดพระธำมรงค์ อันมีราคาแสนหนึ่งจากพระองคุลีของ
พระราชา มาสวมใส่ที่นิ้วของพระองค์.
ในสมัยนั้น นกหัสดีลิงค์ บินมาโดยอากาศ เห็นพระราชเทวี
จึงชะลอปีกบินโผลง โดยหมายว่า " ชิ้นเนื้อ." พระราชาทรงตกพระทัย
ด้วยเสียงโผลงของนกนั้น จึงเสด็จลุกเข้าภายในพระราชิเวศน์. พระราช-
เทวีไม่อาจไปโดยเร็วได้ เพราะทรงครรภ์แก่ และเพราะเป็นผู้มีชาติแห่ง

(๑. ) อากาสตเล ที่พื้นแห่งอากาศ.

คนขลาด. ครั้งนั้น นกนั้นจึงโผลง ยังพระนางนั้นให้นั่งอยู่ที่กรงเล็บ
บินไปสู่อากาศแล้ว. เขาว่า พวกนกเหล่านั้น ทรงกำลังเท่าช้าง ๕ เชือก
เพราะฉะนั้น จึงนำเหยื่อไปทางอากาศ จับ ณ ที่อันพอใจแล้ว ย่อมเคี้ยว
มังสะกิน. แม้พระนางนั้น อันนกนั้นนำไปอยู่ ทรงหวาดต่อมรณภัย
จึงทรงดำริว่า " ถ้าว่าเราจักร้อง, ธรรมดาเสียงคน เป็นที่หวาดเสียวของ
สัตว์จำพวกดิรัจฉาน มันฟังเสียงนั้นแล้ว ก็จักทิ้งเราเสีย, เมื่อเป็น
เช่นนั้น เราจักถึงความสิ้นชีพ พร้อมกับเด็กในครรภ์; แต่มันจับในที่
ใดแล้วเริ่มจะกินเรา, ในที่นั้น เราจักร้องขึ้น แล้วไล่ให้มันหนีไป.
พระนางยับยั้งไว้ได้ ก็เพราะความที่พระองค์เป็นบัณฑิต. ก็ในกาลนั้น
ที่หิมวันตประเทศ มีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง เจริญขึ้นเล็กน้อยแล้วก็ตั้งอยู่
โดยอาการดังมณฑป. นกนั้น นำเหยื่อมีเนื้อเป็นต้นไปแล้ว ย่อมเคี้ยว
กินที่ต้นไทรนั้น; เพราะฉะนั้น นกหัสดีลิงค์ตัวนั้น นำพระราชเทวีแม้นั้น
ไปที่ต้นไทรนั้นแล วางไว้ในระหว่างค่าคบไม้ แลดูทางอันตนบินมาแล้ว.
นัยว่าการแลดูทางบินมาแล้ว เป็นธรรมดาของนกเหล่านั้น. ในขณะนั้น
พระราชเทวี ทรงดำริว่า " บัดนี้ ควรไล่นกนี้ให้หนีไป" จึงทรงยก
พระหัตถ์ทั้ง ๒ ขึ้น ทั้งปรบมือ ทั้งร้อง ให้นกนั้นหนีไปแล้ว. ครั้งนั้น
ในเวลาพระอาทิตย์อัสดงคต ลมกัมมัชวาตปั่นป่วนแล้ว ในพระครรภ์
ของพระราชเทวีนั้น. มหาเมฆคำรามร้อง ตั้งขึ้นในทุกทิศ ชื่อว่าความ
หลับ มิได้มีแล้วตลอดคืนยังรุ่ง แก่พระราชเทวี ผู้ดำรงอยู่ในความสุข
ไม่ได้แม้สักคำพูดว่า " อย่ากลัวเลย พระแม่เจ้า" อันความทุกข์
ครอบงำแล้ว แต่เมื่อราตรีสว่าง ความปลอดโปร่งจากวลาหกก็ดี, ความขึ้น
แห่งอรุณก็ดี, ความตลอดแห่งสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ของพระนางก็ดี ได้มีแล้ว

ในขณะเดียวกันนั้นแล. พระนางได้ตั้งชื่อพระโอรสว่า " อุเทน" เพราะ
ถือเอาฤดูเมฆและฤดูอรุณขึ้นประสูติแล้ว.

อัลลกัปปดาบสเสียพิธี
ที่อยู่ แม้ของอัลลกัปปดาบส ก็อยู่ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น. โดยปกติ
ในวันมีฝน พระดาบสนั้น ย่อมไม่ไปสู่ป่า เพื่อประโยชน์แก่ผลาผล
เพราะกลัวหนาว, ไปยังโคนไม้นั้น เก็บกระดูกเนื้อที่นกกินแล้ว ทุบต้ม
ให้มีรสแล้ว ก็ดื่มกิน; เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระดาบสก็คิดว่า
" จักเก็บกระดูก" จึงไปที่ต้นไม้นั้น แสวงหากระดูกที่โคนไม้อยู่ ได้ยิน
เสียงเด็กข้างบน จึงแลดู เห็นพระราชเทวี จึงถามว่า " ท่านเป็นใคร ?"
พระราชเทวี. ข้าพเจ้าเป็นหญิงมนุษย์.
ดาบส. ท่านมาได้อย่างไร ? เมื่อพระนางกล่าวว่า ' นกหัสดีลิงค์
นำข้าพเจ้ามา' จึงกล่าวว่า ' ท่านจงลงมา.'
พระเทวี. ข้าพเจ้ากลัวแต่ความเจือด้วยชาติ พระผู้เป็นเจ้า.
ดาบส. ท่านเป็นใคร ?
พระราชเทวี. ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์.
ดาบส. แม้ข้าพเจ้าก็เป็นกษัตริย์เหมือนกัน.
พระราชเทวี. ถ้ากระนั้น ท่านจงแถลงมายากษัตริย์.
พระดาบสนั้น แถลงแล้ว.
พระราชเทวี. ถ้ากระนั้น ท่านจงขึ้นมา พาบุตรน้อยของข้าพเจ้าลง.
พระดาบสนั้น ทำทางขึ้นโดยข้างหนึ่ง ขึ้นไปแล้ว รับเด็ก, เมื่อ
พระราชเทวีกล่าวห้ามว่า "อย่าเอามือถูกต้องข้าพเจ้า," ก็ไม่ถูกพระนางเลย อุ้มเด็กลงมา. แม้พระราชเทวีก็ลงแล้ว. ครั้งนั้น พระดาบส
นำนางไปสู่อาศรมนท ไม่กระทำศีลเภทเลย บำรุงแล้ว ด้วยความ
อนุเคราะห์, นำน้ำผึ้งที่ไม่มีตัวมา นำข้าวสาลีอันเกิดเองมา ได้ต้มเป็น
ยาคูให้แล้ว. เมื่อพระดาบสนั้น กำลังบำรุงอย่างนั้น, ในกาลอื่น พระ-
นางจึงคิดว่า " เราไม่รู้จักทางมาทางไปเลย, แม้เหตุสักว่าความคุ้นเคย
ของเรากับพระดาบสแม้นี้ ก็ไม่มี; ก็ถ้าว่าพระดาบสนี้จักทอดทิ้งเราไป
ไหนเสีย, เราแม้ทั้งสองคน ก็จักถึงความตายในที่นี้นั่นเอง, ควรเราทำ
อุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำลายศีลของพระดาบสรูปนี้เสีย ทำโดยอาการ
ที่ดาบสรูปนี้จะไม่ปล่อยปละเราไปได้. ทีนั้น พระราชเทวี จึงประเล้า
ประโลมพระดาบสด้วยการแสดงผ้านุ่งผ้าห่มหลุดลุ่ย ให้ถึงความพินาศ
แห่งศีลแล้ว. ตั้งแต่วันนั้นชนทั้งสองก็อยู่สมัครสังวาสกันแล้ว.

กุมารอุเทนยักทัพช้าง
ต่อมาในกาลวันหนึ่ง พระดาบส ตรวจดูความประกอบแห่งดาว
นักษัตร เห็นความ(๑) เห็นหมองแห่งดาววันกษัตรของพระเจ้าปรันตปะ จึง
ตรัสว่า " นางผู้เจริญ พระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพีสวรรคตแล้ว."
พระราชเทวี. เหตุไร พระผู้เป็นเจ้า จึงตรัสอย่างนี้ ? ท่านมี
ความอาฆาตกับพระเจ้าปรันตปะนั้นหรือ ?
ดาบส. ไม่มี นางผู้เจริญ เราเห็นความเศร้าหมองของดาวนักษัตร
ของพระเจ้าปรันตปะ จึงพูดอย่างนี้.
พระราชเทวีทรงกันแสงแล้ว.

(๑. ) นกฺขตฺตปิฬนํ ความบีบคั้นแห่งนักษัตร.

ครั้งนั้น พระดาบส จึงตรัสถามพระราชเทวีนั่นว่า "เพราะเหตุไร
หล่อนจึงร้องไห้ ?" เมื่อพระราชเทวีตรัสบอกความที่พระเจ้าปรันตปะนั้น
เป็นพระสวามีของพระองค์แล้ว, จึงตรัสว่า อย่าร้องไห้ไป นางผู้เจริญ
ธรรมดาสัตว์ผู้เกิดแล้ว ย่อมตายแน่แท้."
พระราชเทวี. หม่อมฉันทราบ พระผู้เป็นเจ้า.
ดาบส. เมื่อฉะนี้ ไฉน หล่อนจึงร้องไห้ ?
พระราชเทวี. บุตรของหม่อมฉัน เป็นผู้ควรแก่ราชสมบัติอันเป็น
ของตระกูล, ถ้าว่า เขาอยู่ที่เมืองนั้น เขาจักให้ยกเศวตฉัตรขึ้น, บัดนี้
เขาเกิดเป็นผู้เสื่อมใหญ่เสียแล้ว ด้วยความโศกถึงอย่างนี้หม่อมฉันจึงร้องไห้9
พระผู้เป็นเจ้า.
ดาบส. ช่างเถอะ นางผู้เจริญ อย่าคิดไปเลย ถ้าว่า หล่อน
ปรารถนาราชสมบัติให้บุตร, ฉันจักทำอาการให้เขาได้ราชสมบัติ (สมดัง
ความปรารถนา).
ครั้งนั้น พระดาบส ได้ให้พิณและมนต์อันยังช้างให้ใคร่ แก่บุตร
ของพระนางแล้ว. ในกาลนั้น ช้างหลายแสน มาพักอยู่ที่โคนต้นไทรย้อย.
ลำดับนั้น พระดาบส จึงตรัสกะกุมารนั้นว่า "เมื่อช้างทั้งหลาย ยังไม่
มาถึงนั้นแล, เจ้าจงขึ้นต้นไม้, เมื่อช้างทั้งหลายมาถึงแล้ว, จงร่ายมนต์
บทนี้ ดีดสายพิณสายนี้; ช้างทั้งหมด ไม่อาจแม้จะหันกลับแลดู จักหนี
ไป, ทีนั้น เจ้าพึงลงมา," กุมารนั้น ทรงทำตามนั้นแล้ว กลับมาทูล
บอกความเป็นแล้ว. ครั้นถึงวันที่ ๒ พระดาบส จึงตรัสกับกุมาร
นั้นว่า "ในวันนี้ เจ้าจงร่ายมนต์บทนี้ ดีดสายพิณสายนี้; ช้างกลับ
เหลียงดูเบื้องหลังพลางหนีไป แม้ในกาลนั้น พระกุมารก็ทรงทำตาม

นั้นแล้ว กลับมาทูลบอกความเป็นไปนั้น. ครั้งนั้น พระดาบสตรัสเรียก
พระมารดาของกุมารนั้นมาแล้ว ตรัสว่า "นางผู้เจริญ หล่อนจงให้ข่าว
สาสน์แก่บุตรของหล่อน, เขาไปจากที่นี่เทียว จักเป็นพระเจ้าแผ่นดิน."
พระราชเทวี ตรัสเรียกพระโอรสมาแล้ว ตรัสว่า " เจ้าเป็นลูกของพระเจ้า
ปรันตปะในกรุงโกสัมพี. นกหัสดีลิงค์ นำเรามาทั้งที่มีครรภ์" ดังนี้แล้ว
ตรัสบอกชื่อของเสนาบดีเป็นต้น แล้ว ตรัสว่า "เมื่อเขาพากันไม่เชื่อ
เจ้าพึงเอาผ้ากัมพลอันเป็นพระภูษาห่ม และพระธำมรงค์อันเป็นเครื่อง
ประดับของพระบิดานี้ แสดง" ดังนี้ จึงส่งไปแล้ว.
พระกุมารจึงทูลถามพระดาบสว่า "บัดนี้ หม่อมฉันจะทำอย่างไร ?"
ดาบสกล่าวว่า "เจ้าจงนั่งกิ่งข้างล่างแห่งต้นไม้ ร่ายมนต์บทนี้
ดีดสายพิณสายนี้ ช้างนายฝูงน้อมหลังเข้ามาหาเจ้า เจ้านั่งบนหลังของ
มันเทียว จงไปยึดเอาราชสมบัติ."
พระกุมารนั้น ถวายบังคมพระราชบิดาพระราชมารดาแล้ว ทรง
ทำตามนั้นแล้ว นั่งบนหลังของช้างตัวที่มาแล้ว กระซิบบอกช้างว่า
" ข้าพเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพี, ขอท่านจงยึดเอา
ราชสมบัติอันเป็นของบิดาให้แก่ข้าพเจ้าเถิด นาย." ช้าง นายฝูง ฟังคำ
นั้นแล้ว จึงร้องเป็นเสียงช้างว่า "ช้างจงมาประชุมกันหลาย ๆ พัน."
ช้างหลายพัน มาประชุมกันแล้ว. ร้องอีกว่า "ช้างแก่ ๆ จงถอยไป."
ช้างแก่พากันถอยไปแล้ว. ร้องอีกว่า " ช้างตัวเล็ก ๆ จงกลับไป."
แม้ช้างเหล่านั้น ก็พากันกลับแล้ว. พระกุมารนั้น อันช้างนักรบตั้งปลาย
พันพากันแวดล้อมแล้ว ถึงบ้านปลายแดนแล้ว ประกาศว่า " เราเป็น
ลูกพระเจ้าแผ่นดิน, ผู้ที่ปรารถนาสมบัติ จงมากับเรา." ตั้งแต่นั้นไป

ก็ทรงทำการรวบรวมผู้คน ไปล้อมพระนครไว้แล้ว ส่งคำขาด (สาสน์)
ไปว่า " จะให้เรารบหรือจะให้ราชสมบัติ ?" ชาวเมืองทั้งหลายกล่าวว่า
" เราจักไม่ให้ทั้งสองอย่าง, แท้จริง พระราชเทวีของพวกเรามีพระครรภ์
แก่ ถูกนกหัสดีลิงค์พาไปแล้ว, เราทั้งหลาย ไม่ทราบว่า พระนางยังมี
พระชนม์อยู่ หรือว่าหาพระชนม์ไม่แล้ว ตลอดกาลที่เราไม่ทราบเรื่อง
ราวของพระนาง เราจักไม่ให้ทั้งการรบและราชสมบัติ." ได้ยินว่าความ
เป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยสืบเชื้อสาย ได้มีแล้วในกาลนั้น. ลำดับนั้น
พระกุมาร จึงตรัสว่า "ฉันเป็นบุตรของพระนาง" แล้วอ้างชื่อเสนา-
บดีเป็นต้น เมื่อพวกเหล่านั้นไม่เชื่อถือแม้อย่างนั้น จึงแสดงผ้ากัมพล
แดงและพระธำมรงค์. พวกชาวเมือง จำผ้ากัมพลแดงและพระธำมรงค์
นั้นได้ หมดความกินแหนงใจ จึงเปิดประตู อภิเษกกุมารนั้นไว้ในราช-
สมบัติแล้ว.
นี้เป็นเรื่องเกิดแห่งพระเจ้าอุเทนก่อน.

สองผัวเมียเดินทางไปหาอาชีพ
ก็เมื่อทุพภิกขภัย เกิดแล้วในแคว้นอัลลกัปปะ ชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า
โกตุหลิก ไม่อาจจะเป็นอยู่ได้ จึงพาภรรยาผู้มีบุตรอ่อน นามว่ากาลี
จัดแจงเสบียงออกไปแล้ว ด้วยมุ่งหมายว่า " จะไปหากินที่เมืองโกสัมพี."
อาจารย์บางท่านกล่าวว่า " เขาออกไปแล้ว ในเมื่อมหาชนกำลังตายกัน
ด้วยโรคอหิวาต์" บ้าง. สองสามีภรรยานั้น เดินไปอยู่ เมื่อเสบียงทาง
หมดสิ้นแล้ว ถูกความหิวครอบงำแล้ว ไม่สามารถจะนำเด็กไปได้.
ครั้งนั้น สามีจึงกล่าวกะภรรยาว่า " หล่อนเรามีชีวิตอยู่ ก็จักได้ลูกอีก,

ทิ้งเขาเสียแล้วไปเถิด." ธรรมดาว่า ดวงใจของมารดาอ่อนโยน เพราะ-
ฉะนั้น นางจึงพูดว่า "ดิฉันไม่อาจทิ้งลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ดอก."
สามี. เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรกัน ?
ภรรยา. เราเปลี่ยนกันนำเขาไป. มารดายกลูกขึ้นประหนึ่งพวง
ดอกไม้ ในวาระของตน กกไว้ที่อก อุ้มไปแล้ว ก็เอาให้แก่บิดา.
เวทนามีกำลังแม้กว่าความหิว บังเกิดแก่ชายผู้เป็นสามีนั้น ในที่ซึ่งเขา
รับเด็กผู้เป็นลูกนั้นแล้ววางลง เขาก็พูดกะภรรยานั้นแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า
"หล่อน เรามีชีวิตอยู่ จักได้ลูก ( อีก) ทิ้งมันเสียเถิด." แม้ภรรยา
ก็ห้ามเขาไว้ตั้งหลายครั้ง แล้วก็เฉยเสีย. เด็กถูกเปลี่ยนกันตามวาระ
เหนื่อยอ่อนเลยนอนหลับอยู่ในมือของบิดา. ชายผู้เป็นสามี รู้ว่าลูกชาย
นั้นหลับ จึงปล่อยให้มารดาเดินไปข้างหน้าก่อน แล้วเอาเด็กนอนไว้บน
ใบไม้ลาด ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วก็เดิน (ตามไป), มารดาเหลียวกลับ
แลดู ไม่เห็นลูก จึงถามว่า "นาย ลูกของเราไปไหน ?"
สามี. ฉันให้เขานอนอยู่ภายใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง.
ภรรยา. นาย อย่ายังฉันให้ฉิบหายเลย, ฉันเว้นลูกเสียแล้ว ไม่
อาจเป็นอยู่ได้, นายนำลูกฉันมาเถิด ประหารอกคร่ำครวญแล้ว. ครั้นนั้น
ชายผู้สามี จึงกลับไปเอาเด็กนั้นมาแล้ว. แม้ลูกก็ตายเสียแล้วในระหว่าง
ทาง. นายโกตุหลิก ทิ้งบุตรในฐานะมีประมาณเท่านี้ จึงถูกเขาทอดทิ้ง
๗ วาระ ในระหว่างภพ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ด้วยประการฉะนี้. ชื่อว่า
บาปกรรมนี้ อันบุคคลไม่ควรดูหมิ่นว่า "น้อย," สองสามีภรรยานั้น
เดินทางไปถึงตระกูลของคนเลี้ยงโคแห่งหนึ่งแล้ว.

นายโกตุหลิกตายไปเกิดเป็นสุนัข
ก็ในวันนั้น มีการทำขวัญแม่โคนมของนายโคบาล. ในเรือนของ
นายโคบาล พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งฉันเป็นนิตย์. นายโคบาลนั้น
นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าฉันเสร็จแล้ว จึงได้ทำการมงคล. ข้าวปายาสเขา
จัดแจงไว้เป็นอันมาก. นายโคบาล เห็น ๒ สามีภรรยานั้นมา จึงถามว่า
" ท่านมาจากไหน ?" ทราบเรื่องนั้นแล้ว เป็นกุลบุตรมีใจอ่อนโยน
จึงกระทำความสงเคราะห์ใน ๒ สามีภรรยานั้น ให้ ๆ ข้าวปายาสกับเนย7
ใสเป็นอันมาก.
ภรรยาจึงกล่าวกะสามีว่า "นาย เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ฉันก็ชื่อว่า
มีชีวิตอยู่, ท่านท้องพร่องมานาน, จงบริโภคตามความต้องการ" ดังนี้
แล้ว จึงวางข้าวปายาสไว้เบื้องหน้าเขาพร้อมกับสัปปิ ตนเองบริโภคสัปปิ
เหลวแต่น้อยหนึ่งเท่านั้น. ส่วนนายโกตุหลิก บริโภคมากไป ไม่อาจตัด
ความอยากในอาหารได้ เพราะตัวหิวมาตั้ง ๗-๘ วัน นายโคบาล ครั้น
ให้ ๆ ข้าวปายาสแก่ ๒ ผัวเมียแล้ว ตนเองจึงเริ่มจะบริโภค. นายโกตุ-
หลิกนั่งแลดูเขาแล้ว เห็นก้อนข้าวปายาสที่นายโคบาลปั้นให้แก่นางสุนัข
ซึ่งนอนอยู่แล้วใต้ตั่ง จึงคิดว่า " นางสุนัขตัวนี้ มีบุญ จึงได้โภชนะ
เห็นปานนี้เนืองนิตย์." ตกกลางคืนนายโกตุหลิกนั้น ไม่สามารถจะยัง
ข้าวปายาสนั้นให้ย่อยได้ จึงทำกาละ ไปเกิดในท้องแห่งนางสุนัขนั้น.
ครั้งนั้น ภรรยาของเขาทำสรีรกิจ ( เผา) แล้ว ก็ทำการรับจ้างอยู่ใน
เรือนนั่นเอง ได้ข้าวสารทะนานหนึ่ง หุงแล้ว เอาใส่บาตรพระปัจเจก-
พุทธเจ้าแล้วกล่าวว่า " ท่านเจ้าข้า ขอกุศลนี้ จงถึงแก่ทาสของท่าน
เถิด" ดังนี้ แล้วจึงคิดว่า "ควรเราจะอยู่ในที่นี้แล, พระผู้เป็นเจ้าย่อม

มาในที่นี้เนืองนิตย์, ไทยธรรมจักมีหรือไม่ก็ช่างเถิด, เราไหว้อยู่ทำความ
ขวนขวายอยู่ ยังใจให้เลื่อมใสอยู่ทุกวัน จักประสพบุญมาก." (คิดดัง
นี้แล้ว) นางจึงทำการรับจ้างอยู่ในบ้านนั้นนั่นเอง.

สุนัขตายเพราะอาลัยในพระปัจเจกพุทธเจ้า
ในเดือนที่ ๖ หรือที่ ๗ นางสุนัขแม้นั้นแล ก็คลอดลูกออกมา
ตัวหนึ่ง. นายโคบาลจึงให้ ๆ น้ำนมของแม่โคนมตัวหนึ่งแก่ลูกสุนัขนั้น.
ไม่นานเท่าไรนัก ลูกสุนัขนั้นก็เติบใหญ่. ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า
เมื่อฉัน ย่อมให้ก้อนข้าวแก่ลูกสุนัขนั้นก้อนหนึ่งเป็นนิตย์. เพราะอาศัย
ก้อนข้าว สุนัขนั้นจึงได้มีความรักใคร่ในพระปัจเจกพุทธเจ้า. นายโคบาล
ย่อมไปสู่ที่บำรุงของพระปัจเจกพุทธเจ้า (วันหนึ่ง ) ๒ ครั้งเนืองนิตย์.
นายโคบาลนั้นแม้เดินไป ก็เอาไม้ตีที่พุ่มไม้แลพื้นดินในที่ซึ่งมีเนื้อร้าย
ระหว่างทาง ส่งเสียงว่า "สุ สุ" ๓ ครั้ง ยังเนื้อร้ายให้หนีไปแล้ว.
แม้สุนัขก็ไปด้วยกับนายโคบาลนั้น. ในวันหนึ่ง นายโคบาลนั้นกล่าว
กะพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า " ท่านผู้เจริญ กาลใด ผมไม่มีโอกาสว่าง
กาลนั้นผมจักส่งสุนัขตัวนี้มา: ขอพระผู้เป็นเจ้าพึงมาด้วยเครื่องหมายแห่ง
สุนัขนี้ที่กระผมส่งมาแล้ว." ตั้งแต่นั้นมา ในวันที่ไม่มีโอกาส นายโค-
บาลนั้น ก็ส่งสุนัขไปว่า "พ่อ จงไป จงนำพระผู้เป็นเจ้ามา" ด้วยคำ
เดียวเท่านั้น สุนัขนั้นก็วิ่งไป ถึงที่ซึ่งนายตีพุ่มไม้และพื้นดินก็เห่าขึ้น
๓ ครั้ง รู้ว่าเนื้อร้ายหนีไปแล้วด้วยเสียงนั้น ไปถึงที่อยู่ของพระปัจเจก-
พุทธเจ้า ผู้กระทำสรีรปฏิบัติแต่เช้าตรู่ เข้าไปยังบรรณศาลา นั่งอยู่แล้ว
ถึงประตูบรรณศาลา จึงเห่าขึ้น ๓ ครั้ง ให้ท่านรู้ว่าตนมาแล้ว ก็นอน

หมอบอยู่ที่ส่วนข้างหนึ่ง. เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ากำหนดเวลาออกไปแล้ว
สุนัขนั้นก็เดินเห่าไปข้างหน้า ๆ เทียว พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อจะทดลอง
สุนัข จึง (ทำเป็น) เดินไปทางอื่นในระหว่าง ๆ ทีนั้น สุนัขจึงไป
ยืนเห่าขวางหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นไว้ แล้วนำท่านลงทางนอกนี้.
ต่อมาในกาลวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อจะทดลองสุนัขนั้น จึงเดิน
ไปสู่ทางอื่นแล้ว แม้สุนัขนั้นจะยืนขวางห้ามอยู่ข้างหน้าก็ไม่กลับ เอาเท้า
กระตุ้นสุนัขแล้วเดินไป: สุนัขรู้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่กลับ จึงกลับไป
คาบชายผ้านุ่งฉุดมา น้ำท่านลงสู่ทางนอกนี้. สุนัขนั้นได้ยังความรักอันมี
กำลัง ให้เกิดขึ้นแล้วในพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ด้วยประการอย่างนี้.
ต่อมาในกาลอื่น จีวรของพระปัจเจกพุทธเจ้าเก่าแล้ว. ครั้งนั้น
นายโคบาล จึงได้ถวายผ้าสำหรับทำจีวรแก่ท่าน. พระปัจเจกพุทธเจ้า
จึงกล่าวกับนายโคบาลนั้นว่า " ผู้มีอายุ ชื่อว่าการทำจีวร อันบุคคล
ผู้เดียวทำได้ยาก, อาตมา ไปสู่สถานที่สบายแล้วจักกระทำ."
นายโคบาล. ท่านผู้เจริญ นิมนต์ทำที่นี่เถิด.
พระปัจเจกพุทธเจ้า. ผู้มีอายุ อาตมา ไม่อาจ.
นายโคบาล. ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ท่านอย่าไปอยู่ภายนอก
ให้นานนัก.
สุนัขได้ยินฟังคำของคนทั้งสองนั้นอยู่เหมือนกัน.
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวกะนายโคบาลนั้นว่า "จงหยุดเถิด
อุบาสก" ให้นายโคบาลกลับแล้ว เหาะขึ้นสู่เวหาส บ่ายหน้าต่อเขา
คันธมาทน์ หลีกไปแล้ว. สุนัขแลดูพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เหาะไปทาง




อากาศ ยืนเห่าอยู่แล้ว เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นลับคลองจักษุไป หทัย
ก็แตกทำลายลง.

สุนัขไปเกิดเป็นโฆสกเทพบุตร
ชื่อว่า สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายนั้น เป็นสัตว์มีชาติซื่อตรง ไม่
คดโกง; ส่วนมนุษย์ใจคิดไปอย่าง ปากพูดไปอย่าง (ไม่ตรงกัน)
เพราะเหตุนั้นแล นายเปสสะ ผู้เป็นบุตรของนายควาญช้าง จึงกล่าวว่า(๑)
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แท้จริง ขันธบัญจกคือมนุษย์นี้รกชัฏ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ แท้จริง ขันธบัญจกคือสัตว์ของเลี้ยงนี้ตื้น. สุนัขนั้น
ทำกาละแล้ว ไปเกิดในดาวดึงสภพ มีนางอัปสร ๑ พันแวดล้อม ได้
เสวยสมบัติใหญ่ ก็เพราะเป็นสัตว์มีความเห็นอันตรง (และ) ไม่
คดโกงนั้น ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อเทพบุตรนั้นกระซิบที่ใกล้หูของใคร ๆ เสียงย่อมดังไปไกลได้
๑๖ โยชน์ ส่วนเสียงพูดโดยปกติ ย่อมกลบเทพนครทั้งสิ้น ซึ่งมี
ประมาณหมื่นโยชน์. เพราะเหตุนั้นแล เทพบุตรนั้น จึงได้มีนามว่า
"โฆสกเทพบุตร." ก็นี้เป็นผลของอะไร ? เป็นผลของการเห่าด้วยความ
รักในพระปัจเจกพุทธเจ้า. โฆสกเทพบุตรนั้น ดำรงอยู่ในเทพนครนั้นไม่
นานก็เคลื่อนแล้ว.

เหตุทำให้เทพบุตรเคลื่อน ๔ อย่าง
จริงอยู่ เทพบุตรทั้งหลาย ย่อมเคลื่อนจากเทวโลก ด้วยเหตุ ๔
อย่าง คือ:-

(๑. ) ม. ม. ๑๓/๔.

๑. ด้วยความสิ้นอายุ
๒. ด้วยความสิ้นบุญ
๓. ด้วยความสิ้นอาหาร
๔. ด้วยความโกรธ
ในเหตุ ๔ อย่างเหล่านั้น เทพบุตรองค์ใดทำบุญกรรมไว้มาก
เทพบุตรองค์นั้นเกิดในเทวโลก ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุแล้ว ก็เกิด
ในเทวโลกชั้นสูง ๆ ขึ้นไป, อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมเคลื่อนด้วยความ
สิ้นอายุ. เทพบุตรองค์ใดทำบุญไว้น้อย; บุญนั้นของเทพบุตรนั้น
ย่อมสิ้นไปเสียในระหว่างเทียว เหมือนธัญชาติ ที่บุคคลใส่ไว้ในฉางหลวง
เพียง ๔-๕ ทะนานฉะนั้น, เทพบุตรนั้นย่อมทำกาละเสียในระหว่าง
เที่ยว, อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมเคลื่อนด้วยความสิ้นบุญ. เทพบุตรบางองค์
มักบริโภคกามคุณ ไม่บริโภคอาหาร เพราะการหลงลืมสติ มีกายอัน
เหนื่อยอ่อน ทำกาละ, อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมเคลื่อนด้วยการสิ้นอาหาร.
เทพบุตรบางองค์ ไม่อดทนสมบัติของผู้อื่น โกรธเคืองแล้วจึงทำกาละ,
อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมเคลื่อนด้วยความโกรธ

โฆสกเทพบุตรไปเกิดในกรุงโกสัมพี
ก็โฆสกเทพบุตรนี้ มัวบริโภคกามคุณอยู่ หลงลืมสติ จึงเคลื่อน
ด้วยความสิ้นอาหาร. ก็แลเคลื่อนเสร็จแล้ว ไปถือปฏิสนธิในท้องแห่ง
หญิงงามเมืองในกรุงโกสัมพี. ในวันคลอด นางถามทาสีว่า "นี่อะไร ?"
เมื่อนางทาสีตอบว่า "ลูกชาย เจ้าค่ะ" จึงบอกให้นางทาสีเอาไปทิ้งด้วย
คำว่า "เจ้าจงเอาทารกนี้ใส่กระด้งแล้วเอาไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ " แท้จริง

หญิงงามเมืองทั้งหลาย ย่อมเลี้ยงลูกหญิง ไม่เลี้ยงลูกชาย; เพราะเชื้อสาย
ของพวกหล่อนจะสืบไปได้ ก็ด้วยลูกหญิง. กาบ้าง สุนัขบ้าง ต่างพากัน
จับกลุ่มแวดล้อมเด็กไว้. ด้วยผลแห่งการเห่า อันเกิดแต่ความรักในพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า สัตว์ตัวหนึ่งก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้. ในขณะนั้น คนผู้หนึ่ง
ออกไปนอกบ้านเห็นการจับกลุ่มของกาและสุนัขนั้น คิดว่า "นี่มันเหตุ
อะไรกันหนอ ?" จึงเดินไปที่นั้น เห็นทารก หวนได้ความรักเหมือน
ดังลูก จึงนำไปสู่เรือนด้วยดีใจว่า " เราได้ลูกชายแล้ว."

นางกาลีนำโฆสกทารกไปให้โคเหยียบ
ในกาลครั้งนั้น เศรษฐีชาวเมืองโกสัมพี ไปสู่ราชตระกูล พบ
ปุโรหิตเดินมาแต่พระราชวัง จึงถามว่า "ท่านอาจารย์ วันนี้ท่านได้
ตรวจตราดูความประกอบของดาวนักษัตร(๑ ) อันเป็นเหตุเคราะห์ดีเคราะห์-
ร้ายแล้วหรือ ?"
ปุโรหิต. จ้ะ ท่านมหาเศรษฐี. กิจอะไรอื่นของพวกเราไม่มี.
เศรษฐี. อะไรจะมีแก่ชนบทหรือ ? ท่านอาจารย์.
ปุโรหิต. อย่างอื่นไม่มี, แต่เด็กที่เกิดในวันนี้ จักได้เป็นเศรษฐี
ผู้ประเสริฐในเมืองนี้.
ครั้งนั้น ภรรยาของเศรษฐีมีครรภ์แก่, เพราะฉะนั้น เศรษฐีนั้น
จึงส่งคนใช้ไปสู่เรือนโดยเร็วด้วยคำว่า " จงไป จงทราบภรรยาของเรา
นั้นว่า ตลอดแล้ว หรือยังไม่ตลอด," พอทราบว่า " ยังไม่ตลอด,"
เฝ้าพระราชาเสร็จแล้ว รีบกลับบ้าน เรียกหญิงคนใช้ชื่อกาลีมาแล้ว

(๑. ) ติถิกรณนกฺขตฺตโยโค ความประกอบแห่งนักษัตรอันเป็นเครื่องกระทำซึ่งดิถี.

ให้ทรัพย์ ๑ พัน กล่าวว่า เจ้าจงไป จงตรวจดูในเมืองนี้ ให้ทรัพย์
๑ พัน พาเอาเด็กที่เกิดในวันนี้มา." นางกาลีนั้นตรวจตราดู ไปถึง
เรือนนั้น เห็นเด็กแล้ว จึงถามหญิงแม่บ้านว่า " เด็กนี้ เกิดเมื่อไร "
เมื่อหญิงนั้นตอบว่า " เกิดวันนี้," จึงพูดว่า " จงให้เด็กนี้แก่ฉัน จึง
ประมูลราคา ตั้งแต่ ๑ กหาปณะเป็นต้น จนถึงให้ทรัพย์ ๑ พันแล้ว นำเด็ก
นั้นไปแสดงแก่เศรษฐี. เศรษฐีคิดว่า " ถ้าว่าลูกของเรา จักเกิดเป็น
ลูกหญิง. เราจักให้มันอยู่ร่วมกับลูกสาวของเรานั้น แล้วทำให้มันเป็น
เจ้าของตำแหน่งเศรษฐี; ถ้าว่าลูกของเราจักเกิดเป็นลูกชาย เราก็จักฆ่า
มันเสีย " ดังนี้แล้ว จึงให้รับเด็กนั้นไว้ในเรือน. ต่อมา ภรรยาของ
เศรษฐีนั้นตลอดบุตรเป็นชาย โดยล่วงไป ๒-๓ วัน. เศรษฐีจึงคิดว่า
" เมื่อไม่มีเจ้าเด็กนี้ ลูกชายของเรา ก็จักได้ตำแหน่งเศรษฐี, บัดนี้
ควรที่เราจักฆ่ามันเสียเถิด " ดังนี้แล้ว จึงเรียกนางกาลีมาแล้ว กล่าวว่า
" แม่จงไป ในเวลาที่พวกโคออกจากคอก เจ้าจงเอาเด็กนี้ให้นอนขวาง
ไว้ที่กลางประตูคอก แม่โคทั้งหลายจักเหยียบมันให้ตาย, แต่ต้องรู้ว่า
โคเหยียบมันหรือไม่เหยียบแล้วจึงมา." นางกาลีนั้น ไปแล้ว พอนาย
โคบาลเปิดประตูคอกเท่านั้น ก็เอาเด็กนั้นให้นอนไว้ ตามนั้น (เหมือน
ที่เศรษฐีสั่ง). โคอุสภะซึ่งเป็นนายฝูง แม้ออกภายหลังโคทั้งปวงใน
เวลาอื่น (แต่) ในวันนั้น ออกไปก่อนกว่าโคอื่นทั้งหมด ได้ยืนคร่อม
ทารกไว้ในระหว่างเท้าทั้งสี่. แม่โคตั้งหลายร้อย ต่างก็พากันเบียดเสียด
ข้างทั้งสองของโคอุสภะออกไป. ถึงนายโคบาลก็คิดว่า "เจ้าโคอุสภะ
ตัวนี้ เมื่อก่อน ออกทีหลังโคทุกตัว, แต่วันนี้ ออกไปก่อนโคทั้งหมด
แล้วยืนนิ่งอยู่ที่ประตูคอกเที่ยว, นั่นจะมีเหตุอันใดหนอ ?" จึงเดินไป

แลเห็นเด็กนอนอยู่ภายใต้ท้องโคนั้น หวนกลับได้ความรักเสมือนบุตร
จึงนำไปสู่เรือน ด้วยคิดว่า " เราได้ลูกชายแล้ว." นางกาลี ไปแล้ว
ถูกเศรษฐีถาม จึงเล่าเรื่องนั้น อันเศรษฐีกล่าวว่า "เจ้าจงไป จงให้
ทรัพย์เขา ๑ พันแล้ว นำมันกลับมาอีก" ดังนี้แล้ว ให้ทรัพย์ ๑ พัน
แล้ว ได้นำกลับมาให้อีก.

นางกาลีนำโฆสกะไปให้เกวียนทับ
ครั้งนั้น เศรษฐีกล่าวกับนางกาลีว่า " แม่กาลี ในเมืองนี้มีพวก
เกวียน ๕๐๐ เล่ม ลุกขึ้นแต่เช้ามืด ย่อมไปค้าขาย, เจ้าจงเอาเด็กนี้ไป
ให้นอนไว้ที่ทางเกวียน (ทางล้อ ) พวกโคจักเหยียบมันหรือล้อเกวียน
จักตัด (ตัวมัน) พอรู้เรื่องของมันแล้ว จึงกลับมา." นางกาลีนั้น
นำเด็กนั้นไปแล้ว ให้นอนอยู่ที่ทางเกวียน. ในกาลนั้นหัวหน้าเกวียน
ได้ไปข้างหน้า. ครั้งนั้น พวกโคของเขา ถึงที่นั้นแล้ว ต่างพากันสลัด
แอกเสีย. แม้จะถูกหัวหน้ายกขึ้นแล้วขับไปตั้งหลายครั้ง ก็ไม่เดินไป
ข้างหน้า. เมื่อหัวหน้านั้น พยายามอยู่กับโคทั้งสองนั้นอย่างนี้เทียว
อรุณขึ้นแล้ว (ก็พอสว่าง). เขาจึงคิดว่า "โคทั้งสองพากันทำเหตุนี้
เพราะอะไร ? " จึงตรวจตราดูทาง เห็นทารกแล้วก็คิดว่า " กรรมของ
เขาหนักหนอ" ความยินดีว่า "เราได้ลูกชายแล้ว" จึงนำเด็กนั้นไป
สู่เรือน. นางกาลีไปแล้ว อันเศรษฐีถาม จึงบอกความเป็นไปนั้น อัน
เศรษฐีบอกว่า "เจ้าจงไปให้ทรัพย์ (เขา) ๑ พันแล้ว จงนำเด็กนั้น
กลับมาอีก" ดังนี้แล้ว ได้กระทำตามนั้นแล้ว.

นางกาลีนำโฆสกะไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ
ครั้งนั้น เศรษฐีกล่าวกะนางกาลีนั้นว่า "บัดนี้ เจ้าจงนำมัน
ไปยังป่าช้าผีดิบ แล้วเอานอนไว้ในระหว่างพุ่มไม้, มันจักถูกสัตว์มีสุนัข
ป่าเป็นต้นกัด หรือถูกอมนุษย์ประหารตายในที่นั้น, เจ้ารู้ว่ามันตายแล้ว
หรือไม่ตายเทียว จึงกลับมา." นางกาลีนั้นนำเด็กนั้นไป ให้นอนอยู่
ที่ป่าช้าผีดิบแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง. สุนัขบ้าง กาบ้าง อมนุษย์
บ้าง ไม่อาจเข้าใกล้เด็กนั้นได้. มีคำถามสอดเข้ามาว่า "ก็มารดาบิดา
และบรรดาพี่น้องเป็นต้น ใคร ๆ ชื่อว่าผู้รักษาของเด็กนั้น ไม่มีมิใช่
หรือ ? ใครรักษาตัวเด็กนั้นไว้ ?" แก้ว่า "กรรมสักว่าความเห่าเท่านั้น
ซึ่งเด็กให้เป็นไปแล้ว ด้วยความรักใคร่ในพระปัจเจกพุทธเจ้า ในเวลา
เป็นสุนัข รักษาเด็กไว้." ครั้งนั้น นายอชบาลผู้หนึ่ง ต้อนแม่แพะตั้ง
หลายแสนตัวไปหากิน เดินไปข้างป่าช้า. แม่แพะตัวหนึ่งเคี้ยวกินใบไม้
เป็นต้น เข้าไปสู่พุ่มไม้เห็นทารกแล้ว จึงคุกเข่าให้นมแก่ทารก. แม้
นายอชบาล จะทำเสียงว่า "เห, เห" ก็หาออกไปไม่. เขาคิดว่า
" จักเอาไม้ตีมันไล่ออก" จึงเข้าไปสู่พุ่มไม้ เห็นแม่แพะคุกเข่าให้ทารกน้อย
กินนมอยู่ จึงหวนกลับได้รับความรักในทารกเสมือนบุตร จึงพาเอาหารก
นั้นไป ด้วยคิดว่า " เราได้ลูกชายแล้ว," นางกาลี เห็นเหตุนั้นแล้ว
จึงไป ถูกเศรษฐีถามแล้ว จึงบอกความเป็นไปอันนั้น อันเศรษฐีกล่าวว่า
" เจ้าจงไป ให้ทรัพย์ (เขา) ๑ พันแล้ว นำมันกลับมาอีก" ได้
กระทำตามนั้นแล้ว.

นางกาลีเอาโฆสกะไปโยนเหว
ครั้งนั้น เศรษฐี กล่าวกะนางทาสีนั้นว่า "แม่กาลี เจ้าจงเอา

เด็กนี้ไป ขึ้นสู่ภูเขาอันเป็นที่ทิ้งโจร จงโยนมันลงไปในเหว, มันกระทบ
ต้องภูเขา ก็จักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย ตกลงที่พื้น, เจ้ารู้ว่า มันตาย
แล้วหรือไม่ตาย จึงกลับมา." นางกาลีนั้น นำเด็กนั้นไปที่นั้นแล้ว
ยืนอยู่บนยอดเขา โยนลงไปแล้ว. ก็พุ่มไผ่ใหญ่ อาศัยท้องภูเขานั้นแล
เจริญโดยเทือกเขานั่นเอง. พุ่มกระพังโหมหนาทึบ ได้คลุมเบื้องบนพุ่ม
ไผ่นั้นไว้. ทารกเมื่อตก จึงตกลงบนพุ่มนั้น เหมือนตกลงบนผ้าขนสัตว์
ในวันนั้น หัวหน้าช่างสาน มีความต้องการด้วยไม้ไผ่. เขาไปกับลูกชาย
เริ่มจะตัดพุ่มไม้นั้น, เมื่อพุ่มไม้ไผ่นั้นไหวอยู่ เด็กก็ได้ร้องขึ้นแล้ว. เขา
จึงพูดว่า " เหมือนเสียงเด็ก" จึงขึ้นไปทางหนึ่ง เห็นเด็กนั้น มีใจยินดี
จึงพาไปด้วยคิดว่า " เราได้ลูกชายแล้ว. " นางกาลี ไปสู่สำนักของ
เศรษฐี ถูกเศรษฐีนั้นถามแล้ว จึงบอกเรื่องนั้น อันเศรษฐีกล่าวว่า
" เจ้าจงไป เอาทรัพย์ให้ ( เขา) ๑ พันแล้วน้ำมันกลับมาอีก" ได้ทำ
ตามนั้นแล้ว.

ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
เมื่อเศรษฐี ทำกรรมนี้ ๆ อยู่นั่นเทียว เด็กเติบใหญ่แล้ว. เขา
ได้มีชื่อว่า " โฆสกะ." นายโฆสกะนั้น ปรากฏแก่เศรษฐีประหนึ่ง
หนามแทงตา. เศรษฐีไม่อาจเพื่อจะแลดูเขาตรง ๆ ได้. ครั้งนั้น เศรษฐี
ตรองหาอุบายจะฆ่านายโฆสกะนั้น จึงไปสู่สำนักของนายช่างหม้อผู้สหาย
ของตน แล้วถามว่า " เมื่อไร ท่านจะเผาเตา ?" เมื่อเขาตอบว่า
"พรุ่งนี้" จึงกล่าวว่า " ถ้ากระนั้น ท่านจงเอาทรัพย์ ๑ พันนี้ไว้
แล้วจงทำการงานให้ฉันสักอย่างหนึ่ง."

นายช่างหม้อ. การงานอะไร ? นาย.
เศรษฐี. ฉันมีบุตรชาติชั่วอยู่คนหนึ่ง ฉันจักส่งมันมายังสำนัก
ของท่าน, เมื่อฉะนี้ ท่านจงให้มันเข้าไปสู่ห้อง เอามีดอันคมตัดให้เป็น
ท่อนน้อยท่อนใหญ่ เอาใส่ในตุ่ม แล้วเผาในเตา ทรัพย์ ๑ พันนี้
เป็นเช่นกับรางวัลของท่าน. ในภายหลัง ฉันจักทำสิ่งที่ควรทำแก่ท่านให้
ยิ่งขึ้นอีก.
นายช่างหม้อ. ได้จ้ะ.
ในวันรุ่งขึ้น เศรษฐีจึงเรียกนายโฆสกะมาแล้ว กล่าวว่า "พ่อเมื่อ
วานนี้ ฉันสั่งการงานนายช่างหม้อไว้อย่างหนึ่ง, เจ้าจงมา จงไปยังสำนัก
ของเขา แล้วพูดอย่างนี้ว่า "ได้ยินว่า ท่านจงยังการงานที่คุณพ่อของผม
สั่งไว้เมื่อวันวานนี้ให้สำเร็จเถิด" ดังนี้แล้ว ได้ส่งไปแล้ว. นายโฆสกะ
นั้น รับว่า "จ้ะ" ได้ไปแล้ว. ฝ่ายลูกชายของเศรษฐี กำลังเล่นคลี
กับพวกเด็ก เห็นนายโฆสกะนั้น เดินไปในที่นั้น จึงเรียกนายโฆสกะ
นั้นแล้ว ถามว่า " ไปไหน ? พี่" เมื่อนายโฆสกะบอกว่า " เอาข่าว
ของคุณพ่อ ไปสำนักของนายช่างหม้อ," จึงพูดว่า " ฉันจักไปในที่นั้น,
เด็กเหล่านี้ชนะฉันหลายคะแนนแล้ว, พี่จงชนะเอาคะแนนคืนให้ฉัน.
นายโฆสกะ. พี่กลัวคุณพ่อ.
ลูกเศรษฐี. อย่ากลัวพี่ ฉันจักนำข่าวนั้นไปเอง พวกเด็กหลาย
คนชนะฉันแล้ว พี่จงชิงชัยเอาคะแนนให้ฉัน จนกว่าฉันจะกลับมา. ได้
ยินว่า โฆสกะเป็นผู้ฉลาดในการเล่นคลี, เพราะฉะนั้น ลูกชายของเศรษฐี
จึงได้หน่วงเหนี่ยวนายโฆสกะนั้นไว้อย่างนั้น .
ฝ่ายโฆสกะนั้นจึงพูดกับลูกชายเศรษฐีนั้นว่า " ถ้ากระนั้นจงไป

บอกกับนายช่างหม้อว่า "ทราบว่า เมื่อวานนี้ คุณพ่อผม สั่งให้ท่าน
ทำการงานไว้อย่างหนึ่ง, ท่านจงยังการงานนั้นให้สำเร็จ" ดังนี้แล้ว
ส่งเขาไปแล้ว. ลูกชายของเศรษฐีนั้น ไปยังสำนักของนายช่างหม้อนั้น
ได้กล่าวตามสั่งนั้น. ครั้งนั้น นายช่างหม้อ ได้ฆ่าลูกชายเศรษฐีนั้น
ตามคำสั่งเศรษฐีสั่งไว้ทีเดียว แล้วโยนไปในเตา.
ฝ่ายนายโฆสกะ เล่นตลอดภาคของวัน พอตกเย็นก็กลับบ้าน,
เมื่อเศรษฐีเห็นแล้ว จึงถามว่า "ไม่ได้ไปหรือ ? พ่อ" ก็แจ้งถึงเหตุที่
ตนไม่ไปและเหตุที่น้องชายไปให้ทราบ. เศรษฐีฟังคำนั้นแล้ว จึงร้อง
ลั่นว่า "อย่าได้ฆ่าเลย" ปานประหนึ่งว่า มีโลหิตเดือดพล่านในสรีระ
ทั้งสิ้น ประคองแขนคร่ำครวญอยู่ว่า "ช่างหม้อผู้เจริญ อย่าให้เราฉิบหาย
เสียเลย อย่าให้เราฉิบหายเสียเลย" ดังนี้ ได้ไปยังสำนักของนายช่าง
หม้อนั้นแล้ว.
นายช่างหม้อ เห็นเศรษฐีนั้น มาอยู่โดยอาการอย่างนั้น จึงพูดว่า
"นาย ท่านอย่าทำเสียงดังไป, การงานของท่านสำเร็จแล้ว." เศรษฐีนั้น
อันความโศกเปรียบดังภูเขาใหญ่ท่วมทับแล้ว เสวยโทมนัส มีประมาณ
มิใช่น้อย ดังบุคคลผู้มีใจคิดร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายฉะนั้น.

ทำร้ายผู้ไม่ทำร้ายตอบย่อมถึงฐานะ ๑๐
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
" ผู้ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้าย หา
อาชญามิได้ ด้วยอาชญา ย่อมพลันถึงฐานะ ๑๐

อย่างใดอย่างหนึ่งทีเดียว คือ พึงถึงเวทนาอันหยาบ,
ความเสื่อม, ความแตกแห่งสรีระ, ความเจ็บไข้
อย่างหนัก, ความฟุ้งซ่านแห่งจิต, ความขัดข้องแต่
พระราชา, ความกล่าวตู่อย่างทารุณ, ความเสื่อม
รอบแห่งหมู่ญาติ, ความย่อยยับแห่งโภคะ, อีก
ประการหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของผู้นั้น, เพราะ
ความแตกแห่งกาย เขาผู้มีปัญญาทราม ย่อมเข้า
ถึงนรก."

อุบายใหม่ของเศรษฐี
แม้เช่นนั้น เศรษฐีก็ไม่อาจแลดูนายโฆสกะนั้นตรง ๆ อีกได้
ครุ่นคิดหาอุบายว่า " อย่างไร ? จึงจะฆ่ามันเสียได้." มองเห็นอุบายว่า
"เราจักส่งมันไปยังสำนักของคนเก็บส่วย ( นายเสมียน) ใน ๑๐๐
บ้านของเรา ให้มันตายเสีย" ดังนี้แล้ว จึงเขียนหนังสือไปถึงคนเก็บ
ส่วยนั้นว่า " ผู้นี้เป็นลูกชาติชั่วของเรา, ฆ่ามันเสียแล้ว จงโยนลงไปใน
หลุมคูถ. เมื่อทำการอย่างนี้เสร็จแล้ว, ฉันจักรู้สิ่งที่จะตอบแทนแก่ท่าน
ลุงในภายหลัง" ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า "พ่อโฆสกะ คนเก็บส่วยของฉัน
มีอยู่ที่บ้านส่วย ๑๐๐ บ้าน, เจ้าจงนำเอาจดหมายฉบับนี้ไปให้เขา" ดังนี้
จึงเอาจดหมายผูกไว้ที่ชายผ้าของเขา.
ก็นายโฆสกะนั้น ไม่รู้จักอักษรสมัย, เพราะตั้งแต่เขาเป็นเด็ก
เศรษฐีก็ครุ่นคิดฆ่าเขาเสมอ (แต่) ไม่อาจฆ่าได้, จักให้เขาศึกษา
อักษรสมัยได้อย่างไร ? นายโฆสกะนั้น ผูกจดหมายฆ่าตัวเองไว้ที่ชายผ้า

ด้วยประการฉะนี้ เมื่อจะออกเดินจึงพูดว่า "คุณพ่อ ผมไม่มีเสบียงทาง."
เศรษฐี. เจ้าไม่ต้องมีกิจ (ห่วง) ด้วยเสบียงทาง. ในบ้าน
ชื่อโน้น ในระหว่างทาง เศรษฐีผู้เป็นสหายของข้ามีอยู่ เจ้าจงไปกิน
อาหารเช้าที่เรือนของเขาแล้ว จึงเดินต่อไป.
นายโฆสกะนั้น รับว่า "จ้ะ" ไหว้บิดาแล้ว ออกเดินไปถึง
บ้านนั้น ถามถึงเรือนเศรษฐี เดินไปพบภรรยาของเศรษฐี. เมื่อนาง
กล่าวว่า "เจ้ามาจากไหน ?" จึงตอบว่า " มาจากในเมือง."
ภรรยาของเศรษฐี. เจ้าเป็นลูกของใคร ?
โฆสกะ. คุณแม่ ผมเป็นลูกของเศรษฐี ผู้เป็นสหายของท่าน.
ภรรยาของเศรษฐี. เจ้าชื่อโฆสกะหรือ ?
โฆสกะ. ขอรับ คุณแม่.
พร้อมกับเวลาเห็นเท่านั้น ความรักใคร่เหมือนลูกในโฆสกะนั้น
บังเกิดแก่นางแล้ว.

ความรักเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ
ก็เศรษฐีมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง, นางมีอายุราว ๑๕- ๑๖ ปี รูปร่าง
สะสวย น่าเลื่อมใส. เศรษฐีให้หญิงรับใช้ไว้คนหนึ่งเพื่อรักษานางแล้ว
ให้อยู่ที่ห้องมีสิริ (ห้องพิเศษ) ที่พื้นชั้นบนแห่งปราสาท ๗ ชั้น ใน
ขณะนั้น ลูกสาวเศรษฐีใช้หญิงคนใช้ไปตลาด. ครั้งนั้น ภรรยาของเศรษฐี
เห็นหญิงทาสีนั้นแล้ว ถึงถามว่า "จะไปไหน ?" เมื่อนางตอบว่า "ข้าแต่
แม่เจ้า ดิฉัน ไปด้วยกิจรับใช้แห่งธิดาของแม่เจ้า" จึงกล่าวว่า "เจ้าจงมา

ทางนี้ก่อน งดการรับใช้ไว้. จงลาตั่ง ล้างเท้า ทาน้ำมัน ปูที่นอน ให้
บุตรของเรา จึงทำการรับใช้ภายหลัง." นางได้กระทำการตามสั่งแล้ว.
ครั้งนั้น ลูกสาวของเศรษฐี ได้ดุหญิงรับใช้นั้นผู้มาช้า. ทีนั้น หญิงคน
ใช้นั้นเรียนกะนางว่า "แม่เจ้า อย่าเพิ่งโกรธดิฉัน. บุตรเศรษฐีชื่อโฆสกะ
มาแล้ว, ดิฉันทำสิ่งนี้ ๆ แก่เขาแล้ว ไปในตลาดนั้นแล้วจึงมา." เพราะ
ฟังชื่อว่า "โฆสกะ" ผู้บุตรเศรษฐีนั้น ความรักเฉือนผิวหนังเป็นต้น
จดถึงเยื่อในกระดูก ตั้งขึ้นแก่ลูกสาวเศรษฐีแล้ว.
ลูกสาวเศรษฐีแปลงสาสน์8
แท้จริง ลูกสาวเศรษฐีนั้น เป็นภรรยาของนายโฆสกะนั้นในเวลา
ที่เขาเป็นนายโกตุหลิก ได้ถวายข้าวสุกทะนานหนึ่ง แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ด้วยอานุภาพแห่งผลทานนั้น นางจึงมาเกิดในตระกูลเศรษฐีนี้. ความรัก11
ในปางก่อน ได้ท่วมทับยึดลูกสาวเศรษฐีนั้นไว้ ด้วยประการฉะนี้.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
"ความรักนั้น ย่อมเกิดด้วยเหตุ ๒ ประการ
อย่างนี้ คือ ด้วยความอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑
ด้วยการเกื้อกูลกันในกาลปัจจุบัน ๑ เหมือนอุบล
(อาศัยเปือกตมและน้ำ) เกิดในน้ำฉะนั้น."
ทีนั้น นางจึงถามหญิงสาวใช้นั้นว่า " (เดี๋ยวนี้) เขาอยู่ที่ไหน
จ๊ะ ? แม่."
หญิงสาวใช้. เขานอนหลับอยู่บนที่นอน (เจ้าค่ะ) แม่เจ้า.
ธิดาเศรษฐี. ก็ในมือของเขา มีอะไรอยู่หรือ ?

หญิงสาวใช้. มีหนังสืออยู่ที่ชายผ้าเจ้าค่ะ แม่เจ้า.
ธิดาเศรษฐีนั้นจึงคิดว่า "นั่นจะเป็นหนังสืออะไรหนอ ?"
เมื่อนายโฆสกะนั้นกำลังหลับอยู่, เมื่อมารดาบิดาไม่แลเห็น เพราะ
มัวเอาใจส่งไปในเรื่องอื่น, ลงไปสู่สำนัก (ของเขา) แล้ว แก้เอา
หนังสือนั้น เข้าไปยังห้องของตน ปิดประตู เปิดหน้าต่าง อ่านหนังสือ
เพราะนางฉลาดในอักษรสมัย แล้วคิดว่า "ตายจริง ! คนเขลา ผูก
หนังสือสำหรับฆ่าตัวที่ชายผ้าแล้วก็เที่ยวไป. ถ้าเราไม่เห็นหนังสือแล้ว
เขาคงไม่มีชีวิตอยู่" ดังนี้ แล้ว จึงฉีกหนังสือฉบับนั้นเสีย เขียนหนังสือ
อีกฉบับหนึ่ง ตามถ้อยคำของเศรษฐีว่า " ลูกชายของข้าพเจ้านี้ ชื่อเจ้า
โฆสกะ, จงให้นำเครื่องบรรณาการมาจากบ้าน (ส่วย) ๑๐๐ บ้าน
ทำมงคลกับบุตรสาวเศรษฐีในชนบทนี้ ให้ปลูกเรือนขึ้น ๒ ชั้นในท่าม
กลางบ้านเป็นที่อยู่ของตน ทำการรักษาอย่างแข็งแรง ด้วยเครื่องล้อมคือ
กำแพงและเครื่องล้อมคือบุรุษ, และจงส่งข่าวไปให้ข้าพเจ้าว่า " การนี้
การนี้ ฉันทำเสร็จแล้ว. " เมื่อกรรมอย่างนี้ท่านทำแล้ว ฉันจักรู้สิ่งที่ควร
ทำแก่ท่านลุงในภายหลัง, ก็แลครั้นเขียนเสร็จแล้ว นางจึงพับ ลงไปผูก
ไว้ที่ชายผ้าของนายโฆสกะนั้นตามเดิม.

นายโฆสกะได้ภรรยา
นายโฆสกะนั้น นอนหลับตลอดวัน ลุกขึ้นบริโภคแล้วก็หลีกไป.
ในวันรุ่งขึ้น เขาไปสู่บ้านนั้นแต่เช้าตรู่ แลเห็นนายเสมียนทำกิจในบ้าน
อยู่ทีเดียว. นายเสมียนนั้นเห็นนายโฆสกะนั้นแล้ว จึงถามว่า " อะไร ?
พ่อ " นายโฆสกะนั้น กล่าวว่า " คุณพ่อของผม ส่งหนังสือมาถึงท่าน"

นายเสมียนจึงถามว่า "หนังสือเพื่อการอะไร ? พ่อ จงบอกมา" รับเอา
หนังสือแล้ว อ่านดูก็มีความพอใจ จึงกล่าวกะคหบดีทั้งหลายว่า " ผู้เจริญ
ทั้งหลาย ขอเชิญท่านดูความรักใคร่ในเราของนายเรา. ท่านเศรษฐีส่ง
บุตรชายมายังสำนักของเรา ด้วยแจ้งว่า 'จงทำมงคลแก่บุตรคนโตของเรา'
พวกท่านจงรีบเอาไม้เป็นต้นมาเร็ว" ดังนี้แล้ว ให้ปลูกเรือนมีประการ
ดังกล่าวแล้วในท่ามกลางบ้าน ให้นำเครื่องบรรณาการมาแต่บ้าน ๑๐๐ บ้าน
นำลูกสาวของเศรษฐีในชนบทมาการทำมงคลแล้ว จึงส่งข่าวไปแก่เศรษฐี7
ว่า " การนี้ การนี้ ข้าพเจ้าทำเสร็จแล้ว."

เศรษฐีเสียใจจนเกิดโรค
เพราะได้ฟังข่าวนั้น ความเสียใจอย่างใหญ่ บังเกิดแก่เศรษฐี
แล้วว่า " เราให้ทำสิ่งใด สิ่งนั้นไม่สำเร็จ, สิ่งใดมิให้ทำ สิ่งนั้นก็กลับ
สำเร็จ." ความเศร้าโศกนั้น กับความเศร้าโศกถึงบุตร เป็นอันเดียวกัน
เทียว ยังความร้อนในท้องให้เกิดขึ้น ให้เกิดโรคอติสาร(๑) แล้ว. แม้ลูกสาว
ของเศรษฐี ก็บังคับพวกคนว่า " ถ้าว่าใคร ๆ มาจากสำนักของเศรษฐี,
ท่านยังไม่บอกแก่เราแล้ว อย่าบอกแก่เศรษฐีบุตรก่อน. แม้เศรษฐีเล่า
ก็คิดว่า "บัดนี้ เราจะไม่ทำบุตรชั่วชาติคนนั้นให้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ
ของเรา " ดังนี้แล้ว จึงบอกนายเสมียนคนหนึ่งว่า "ลุง ฉันปรารถนา
จะพบบุตรของฉัน, ท่านจงส่งคนรับใช้ไปคนหนึ่ง ให้เรียกบุตรของฉัน
มา." เขารับว่า " ได้จ้ะ" ให้หนังสือแล้ว ส่งคนผู้หนึ่งไป. ฝ่ายลูกสาว
ของเศรษฐี ทราบว่าบุรุษนั้นนายืนอยู่ที่ประตู ให้เรียกเขามาแล้ว ถามว่า
" อะไร ? พ่อ."

(๑. ) โรคอันยังโลหิตให้แล่นไปยิ่ง, โรคลงแดง.

คนรับใช้. เศรษฐี ไม่สบาย เพื่อจะพบลูกชาย ให้เรียก (เขา)
แม่เจ้า.
เศรษฐีธิดา. พ่อ เศรษฐียังมีกำลัง หรือถอยกำลัง ?
คนรับใช้. ยังมีกำลัง บริโภคอาหารได้อยู่ก่อน แม่เจ้า.
ลูกสาวเศรษฐีนั้น ไม่ให้บุตรเศรษฐีทราบเทียวให้ๆ ที่อยู่และเสบียง
เดินทางแก่เขาแล้ว กล่าวว่า "ท่านจักไปได้ในเวลาที่ฉันส่งไป จงพักอยู่
ก่อน.
มหาเศรษฐี ได้กล่าวกะนายเสมียนอีกว่า "ลุง ท่านยังไม่ได้ส่ง
หนังสือไปยังสำนักบุตรของฉันหรือ ?"
นายเสมียน. ส่งไปแล้ว นาย คนผู้ไปแล้ว ยังไม่มาก่อน.
เศรษฐี. ถ้ากระนั้น ท่านจงส่งผู้อื่นไปอีก.
นายเสมียนนั้นส่งไปแล้ว.
ลูกสาวของเศรษฐี ปฏิบัติแม้ในบุรุษนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน.
ในกาลนั้น โรคของเศรษฐีหนักแล้ว. ภาชนะหนึ่งเข้า, ภาชนะหนึ่ง
ออก.
เศรษฐีจึงถามนายเสมียนอีกว่า " ลุง ท่านยังไม่ได้ส่งหนังสือไปยัง
สำนักบุตรของฉันแล้วหรือ."
นายเสมียน. ส่งไปแล้ว นาย แต่คนที่ไปยังไม่กลับ.
เศรษฐี. ถ้ากระนั้น ท่านจงส่งผู้อื่นไปอีก.
นายเสมียนนั้นส่งไปแล้ว. ลูกสาวเศรษฐี ถามประพฤติเหตุนั้น
แม้กะบุรุษผู้มาในวาระที่ ๓ แล้ว. บุรุษผู้นั้นบอกว่า "ข้าแต่นาย
เศรษฐีป่วยหนัก ตัดอาหารเสียแล้ว มีความตายเป็นเบื้องหน้า, ภาชนะ

หนึ่งออก ภาชนะหนึ่งเข้า." ลูกสาวของเศรษฐีจึงคิดว่า "บัดนี้เป็นเวลา
ที่เขาควรไปได้" จึงบอกแก่เศรษฐีบุตรว่า " ทราบว่า คุณพ่อของท่าน
ป่วย." เมื่อเขากล่าวว่า " พูดอะไร ? หล่อน " จึงพูดว่า " ความไม่
สำราญมีแก่บิดาของท่านนั้น นาย."
โฆสกะ. บัดนี้ ฉันควรทำอย่างไร ?
เศรษฐีธิดา. นาย เราจักถือเครื่องบรรณาการอันเกิดจากบ้านส่วย
๑๐๐ บ้าน ไปเยี่ยมท่าน.
นายโฆสกะนั้น รับว่า " จ้ะ" แล้วให้คนนำเครื่องบรรณาการมา
เอาเกวียนบรรทุก หลีกไปแล้ว.
ครั้งนั้น ลูกสาวของเศรษฐีนั้น พูดกะโฆสกะนั้นว่า "บิดา
ของท่านถอยกำลัง, เมื่อเราถือเอาเครื่องบรรณาการมีประมาณเท่านี้ไป
จักเป็นการเนิ่นช้า, ขอท่านจงให้ขนบรรณาการนี้กลับเถิด " ดังนี้แล้ว
จึงส่งบรรณาการนั้นทั้งหมดไปสู่เรือนแห่งตระกูลของตน แล้วพูดอีกว่า
"นาย ท่านพึงยืนข้างเท้าแห่งบิดาของท่าน, ฉันจักยืนข้างเหนือศีรษะ."
เมื่อเข้าไปสู่เรือนนั่นเทียว นางก็บังคับพวกคนของตนว่า "พวกท่าน
จงถือเอาการรักษาทั้งข้างหน้าเรือนทั้งข้างหลังเรือน. ก็ในเวลาที่เข้าไป
เศรษฐีบุตรได้ยืนอยู่แล้วที่ข้างเท้าของบิดา. ส่วนภรรยาได้ยืนข้างเหนือ
ศีรษะ.

เศรษฐีทำกาละ
ในขณะนั้น เศรษฐีนอนหงายแล้ว. ส่วนนายเสมียน เมื่อนวดเท้า
ของเศรษฐีนั้น จึงพูดว่า "นาย บุตรชายของท่านมาแล้ว."

เศรษฐี. เขาอยู่ที่ไหน ?
นายเสมียน. เขายืนอยู่ที่ปลายเท้า.
ครั้งนั้น เศรษฐีเห็นบุตรชายนั้นแล้ว จึงให้เรียกนายเสมียน
มาแล้ว ถามว่า " ในเรือนของฉันมีทรัพย์อยู่เท่าไร ?" เมื่อนายเสมียน
เรียนว่า " นาย มีอยู่ ๔๐ โกฏิเท่านั้น, แต่เครื่องอุปโภคบริโภคและ
บ้าน นา สัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้า ยานพาหนะ มีอยู่จำนวนเท่านี้ ๆ,"
ใคร่จะพูดว่า "ฉันไม่ให้ทรัพย์ มีประมาณเท่านี้แก่โฆสกะบุตรของฉัน,"
(กลับ) พูดว่า " ฉันให้." ลูกสาวเศรษฐีฟังคำนั้นแล้วคิดว่า " เศรษฐีนี้
เมื่อพูด พึงพูดคำอะไรอื่น" เป็นเหมือนเร่าร้อนด้วยความโศก สยายผม
ร้องไห้กล่าวว่า "คุณพ่อ พูดอะไรนี่, พวกเราฟังคำของท่าน ชื่อแม้นี้,
พวกเราไม่มีบุญหนอ" ดังนี้แล้ว จึงเอาศีรษะประหารเศรษฐีนั่นที่ท่าน-
กลางอก ล้มลงเอาศีรษะกลิ้งเกลือกอยู่ที่ท่ามกลางอกของเศรษฐีนั้น
แสดงอาการคร่ำครวญ จนเศรษฐีไม่อาจพูดได้อีก. แม้เศรษฐี ก็ได้ทำ
กาละในขณะนั้นเอง.

พระเจ้าอุเทนประทานตำแหน่งเศรษฐีแก่นายโฆสกะ
ชนทั้งหลายสดับว่า " เศรษฐีถึงอนิจกรรมแล้ว" จึงไปกราบทูล
พระเจ้าอุเทน. พระเจ้าอุเทน ทรงให้ทำฌาปนกิจสรีระของเศรษฐีนั้นแล้ว
ตรัสถามว่า " ก็ลูกชายหรือลูกหญิงของเศรษฐีนั้น มีอยู่หรือ ?"
ชนทั้งหลายกราบทูลว่า "มีอยู่ พระเจ้าข้า ลูกชายของเศรษฐีนั้น
ชื่อว่า โฆสกะ, เศรษฐีนั้น มอบหมายทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่โฆสกะ
นั้นแล้ว ก็ถึงแก่อนิจกรรม พระเจ้าข้า." พระราชาทรงให้เรียกตัวเศรษฐีบุตรมาแล้วในกาลอื่น. ก็ในวันนั้นฝนตก, ที่พระลานหลวงมีน้ำขังอยู่
ในที่นั้น ๆ เศรษฐีบุตรไปแล้วด้วยหวังว่า " จักเฝ้าพระราชา." พระราชา
ทรงเปิดพระแกล ทอดพระเนตรดูนายโฆสกะนั้นเดินมาอยู่ ทรงเห็นเขา
โดดน้ำที่พระลานหลวงเดินมา จึงตรัสถามเขา ซึ่งมาถวายบังคมแล้วยืนอยู่
ว่า " พ่อ เจ้าชื่อโฆสกะหรือ ?" เมื่อเขาทูลว่า " ถูกแล้วพระเจ้าข้า"
ทรงปลอบเขาว่า " เจ้าอย่าเสียใจว่า ' บิดาของเราถึงอนิจกรรมแล้ว '
เราจักให้ตำแหน่งเศรษฐีอันเป็นของบิดาของเจ้าแก่เจ้านั่นเอง" ดังนี้แล้ว
ทรงส่งเขาไปว่า " จงไปเถิด พ่อ" และพระราชาได้ประทับยืนทอด
พระเนตรดูเขาซึ่งไปอยู่เทียว. เขาไม่โดดน้ำที่เขาโดดในเวลาที่มา ได้ลง
ไปค่อย ๆ.
ครั้งนั้น พระราชาตรัสสั่งให้เรียกนายโฆสกะนั้นมาจากที่นั้นแล
แล้วตรัสถามว่า " เพราะเหตุไรหนอ ? พ่อ ท่านเมื่อมาสู่สำนักของเรา
จึงโดดน้ำมาแล้ว, เมื่อไป เดี๋ยวนี้ลงไปแล้ว จึงค่อย ๆ เดินไป."
นายโฆสกะ ทูลว่า "เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้า ยังเป็นเด็ก
ในขณะนั้น, นี้ชื่อว่า เป็นเวลาเล่น. ก็ในกาลนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับ
ทราบตำแหน่งจากพระองค์แล้ว . เพราะฉะนั้น การที่ข้าพระองค์ไม่เที่ยว
เหมือนในกาลก่อน แล้วค่อย ๆ ไป จึงควรในเดี๋ยวนี้."
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงดำริว่า "ชายผู้นี้มีปัญญา,
เราจักให้ตำแหน่งเศรษฐีแก่เขาในบัดนี้ เถิด" ดังนี้แล้ว ประทานโภคะ
ที่บิดาบริโภคแล้ว ได้ประทานตำแหน่งเศรษฐี พร้อมด้วยสรรพวัตถุ
๑๐๐ อย่าง.




นายโฆสกะรับตำแหน่งเศรษฐี
นายโฆสกะนั้นยืนอยู่บนรถ ได้การทำประทักษิณพระนครแล้ว.
ที่อันนายโฆสกะนั้นแลดูแล้ว ๆ ย่อมหวั่นไหว. แม้ลูกสาวของเศรษฐี
นั่งปรึกษากับนางกาลีสาวใช้ว่า " แม่กาลี สมบัติมีประมาณเท่านี้ สำเร็จ
แล้วแก่บุตรของท่าน ก็เพราะอาศัยเรา."
กาลี. เพราะเหตุไร ? แม่.
เศรษฐีธิดา. เพราะโฆสกะนี้ ผูกจดหมายฆ่าตัวตายไว้ที่ชายผ้า
มาสู่เรือนของพวกเรา, ครั้งนั้น ฉันฉีกจดหมายฉบับนั้นของเขา เขียน
จดหมายฉบับอื่น เพื่อให้ทำมงคลกับฉัน ทำอารักขาในเขาสิ้นกาลเท่านี้.
กาลี. แม่ ท่านรู้เห็นเพียงเท่านี้, แต่เศรษฐีมุ่งแต่จะฆ่าเขาตั้งแต่
เขาเป็นเด็ก ก็ไม่อาจเพื่อจะฆ่าได้, อาศัยนายโฆสกะนี้อย่างเดียว สิ้นทรัพย์
ไปมากมาย.
เศรษฐีธิดา. แม่ เศรษฐีทำกรรมหนักหนอ.
เศรษฐีธิดานั้นเห็นนายโฆสกะนั้น ระทำประทักษิณพระนคร เข้า
ไปสู่เรือน จึงหัวเราะ ด้วยคิดว่า " สมบัติมีประมาณเท่านี้ ๆ สำเร็จแล้ว
ก็เพราะอาศัยเรา."
ครั้งนั้น เศรษฐีบุตรเห็นอาการนั้น จึงถามว่า " ท่านหัวเราะ
ทำไม ?"
เศรษฐีธิดา. เพราะอาศัยเหตุอันหนึ่ง.
เศรษฐีบุตร. จงบอกเหตุนั้น.
เศรษฐีธิดานั้น ไม่บอกแล้ว.
เศรษฐีบุตรนั้น จึงขู่ว่า " ถ้าไม่บอก จะฟันเจ้าให้เป็น ๒ ท่อน"

ดังนี้ จึงชักดาบออกแล้ว.
เศรษฐีธิดานั้นจึงบอกว่า "ดิฉันหัวเราะ ก็เพราะคิดว่า 'สมบัติ
มีประมาณเท่านี้ นี้ ท่านได้แล้ว ก็เพราะอาศัยฉัน."
เศรษฐี. ถ้าว่าคุณพ่อของฉัน มอบมรดกของตนให้แก่ฉันแล้ว
ท่านจะได้เป็นอะไรในทรัพย์นั้น . ได้ยินว่า เศรษฐี ไม่รู้เรื่องอะไร
สิ้นกาลเท่านี้. เพราะฉะนั้น จึงไม่เชื่อถ้อยคำของเศรษฐีธิดานั้น. ครั้งนั้น
เศรษฐีธิดานั้น ได้เล่าเรื่องนั้นทั้งหมด แก่เศรษฐีบุตรนั้นว่า " บิดา
ของท่าน ให้หนังสือฆ่า (ตัว) ส่งท่านมาแล้ว. ดิฉันทำกรรมอย่างนี้ ๆ
รักษาท่านไว้แล้ว." เศรษฐีบุตรไม่เชื่อ พูดว่า " ท่านพูดไม่จริง"
จึงคิดว่า " เราจักถามแม่กาลี" ดังนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า "ได้ยินว่า
อย่างนั้นหรือ ? แม่." นางกาลี จึงกล่าวว่า " พ่อ ตั้งแต่ท่านเป็นเด็ก
เศรษฐีประสงค์จะฆ่าท่าน แต่ไม่อาจเพื่อจะฆ่าได้, อาศัยท่าน สิ้นทรัพย์
ไปมากมาย. ท่านพ้นแล้วจากความตายในที่ ๗ แห่ง, บัดนี้ มาแล้ว
จากบ้านส่วย ถึงตำแหน่งเศรษฐี พร้อมกับด้วยสรรพวัตถุอย่างละ ๑๐๐."
เศรษฐีนั้นฟังคำนั้นแล้ว คิดว่า " เราทำกรรมหนักหนอ เรา
พ้นแล้วจากความตายเห็นปานนี้แล แล้วเป็นอยู่ด้วยความประมาท ไม่สม-
ควร, เราจักไม่ประมาท" ดังนี้ สละทรัพย์วันละพัน เริ่มตั้งทานไว้
เพื่อคนเดินทางไกลและคนกำพร้า เป็นต้นแล้ว.
กุฏุมพี ชื่อว่ามิตตะ ได้เป็นผู้ขวนขวายในการทานของเศรษฐีนั้น
แล้ว.
ความอุบัติของโฆสกเศรษฐี เป็นดังนี้.

ทำลายฝาเรือนหนีย่อมพ้นอหิวาตก์
ในกาลนั้น เศรษฐี นามว่า ภัททวติยะ ในภัททวดีนคร ได้เป็น
อทิฏฐบุพพสหาย(๑) ของโฆสกเศรษฐีแล้ว. โฆสกเศรษฐี ได้ฟังสมบัติ
และวัยและประเทศของภัททวติยเศรษฐี ในสำนักของพวกพ่อค้า ซึ่ง
มาแล้ว จากภัททวดีนคร ปรารถนาความเป็นสหายกับเศรษฐีนั้น จึงส่ง
เครื่องบรรณาการไปแล้ว. แม้ภัททวติยเศรษฐี ได้ฟังสมบัติและวัยและ
ประเทศของโฆสกเศรษฐี ในสำนักของพวกพ่อค้า ซึ่งมาแล้ว จากกรุง
โกสัมพี ปรารถนาความเป็นสหายกับเศรษฐี จึงส่งเครื่องบรรณาการไป
แล้ว เศรษฐีทั้งสองนั้น ได้เป็นอทิฏฐบุพพสหายกันและกัน อยู่แล้ว
อย่างนี้.
ในกาลอื่น อหิวาตกโรคตกแล้ว ในเรือนของภัททวติยเศรษฐี
เมื่ออหิวาตกโรคนั้นตกแล้ว แมลงวันย่อมตายก่อน, ต่อนั้น ตั๊กแตน
หนู ไก่ สุกร สุนัข แมว โค ทาสหญิง ทาสชาย ย่อมตายไปโดย
ลำดับกันทีเดียว. มนุษย์เจ้าของเรือนย่อมตายทีหลังเขาทั้งหมด. ในชน
เหล่านั้น พวกใดทำลายฝาเรือนหนีไป พวกนั้นย่อมได้ชีวิต. แม้ใน
กาลนั้น เศรษฐี ภริยาและลูกสาว ก็หนีไปโดยวิธีนั้น ปรารถนาจะเห็น
โฆสกเศรษฐี จึงดำเนินไปสู่กรุงโกสัมพี. ๓ คนนั้น มีเสบียงหมดลง
ในระหว่างทาง มีสรีระอิดโรยด้วยลมและแดด และด้วยความหิวกระหาย
ถึงกรุงโกสัมพีด้วยความลำบาก อาบน้ำในสถานอันสบายด้วยน้ำแล้ว
ก็เข้าไปสู่ศาลาแห่งหนึ่ง ที่ประตูเมือง.
ในกาลครั้งนั้น เศรษฐีกล่าวกะภริยาว่า " นางผู้เจริญ ผู้มา

(๑. ) เพื่อนที่ไม่เคยพบเห็นกัน.

โดยทำนองนี้ ย่อมไม่ถูกใจแม้ของแม่ผู้บังเกิดเกล้า, ทราบว่า สหาย
ของเราสละทรัพย์วันละพัน ให้ทานแก่คนเดินทาง คนกำพร้าเป็นต้น,
เราส่งลูกสาวไปในที่นั้น ให้นำอาหารมา บำรุงสรีระในที่นี้แล สักวัน
สองวันแล้ว จึงจักเยือนสหาย. " นางรับว่า " ดีแล้ว นาย." เขาพา
กันพักอยู่ที่ศาลานั้นแล. ในวันรุ่งขึ้น เมื่อเขาบอกเวลาแล้ว เมื่อคน
กำพร้าและคนเดินทางเป็นต้น กำลังไปเพื่อต้องการอาหาร, มารดาและ
บิดาจึงส่งลูกสาวไปด้วยคำว่า " แม่ จงไปนำอาหารมาเพื่อพวกเรา."
ธิดาของตระกูลที่มีโภคะมาก ไม่ละอายเทียว เพราะความที่ตนมีความ
ละอายอันความวิบัติตัดขาดแล้ว ถือถาดไปเพื่อต้องการอาหารกับคนกำพร้า
อันมิตตกุฎุมพี ถามว่า "ท่านจักรับกี่ส่วน ? แม่ " ก็บอกว่า "๓ ส่วน."
ทีนั้น มิตตกุฎุมพี จึงให้ภัตตาหาร ๓ ส่วนแก่นาง. เมื่อนางนำภัตมา
แล้ว ทั้ง ๓ ก็นั่งเพื่อบริโภคร่วมกัน. ครั้งนั้น มารดาและลูกสาว จึง
กล่าวกะเศรษฐีว่า " นาย อันความวิบัติ ย่อมเกิดขึ้นแม้แก่ตระกูลใหญ่,
อย่านึกถึงพวกฉัน จงบริโภคเถิด, อย่าคิดเลย ." อ้อนวอนด้วยประการ
ต่าง ๆ ยังเศรษฐีนั้น ให้บริโภคแล้ว ด้วยประการอย่างนี้.
เศรษฐีนั้นบริโภคแล้ว ไม่สามารถจะให้อาหารย่อยได้, เมื่อ
อรุณขึ้นไปอยู่, ก็ได้ทำกาละแล้ว. มารดาและลูกสาว คร่ำครวญร่ำไห้
ด้วยประการต่าง ๆ. ในวันรุ่งขึ้น เด็กหญิง (กุมาริกา) เดินร้องไห้ไป
เพื่อต้องการอาหาร อันมิตตกุฎุมพีนั้นเห็นเขาแล้ว จึงถามว่า " ท่าน
จักรับกี่ส่วน ? แม่ จึงบอกว่า " ๒ ส่วน." มิตตกุฎุมพีนั้น จึงได้
ให้ ๒ ส่วน. นางนำมาแล้ว ก็อ้อนวอนให้มารดาบริโภค. มารดานั้น
อันธิดาของตนนั้นอ้อนวอนอยู่ บริโภคแล้ว ไม่สามารถจะให้อาหาร

ย่อยได้ ในวันนั้น ก็ได้ทำกาละแล้ว. เด็กหญิงผู้เดียวเท่านั้น ร้องไห้
ร่ำไร เป็นผู้มีความทุกข์เพราะความหิว อันเกิดขึ้นแล้วอย่างหนัก เพราะ
ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์นั้น ในวันรุ่งขึ้น เดินร้องไห้ไปเพื่อต้องการอาหาร
กับพวกยากจน อันมิตตกุฎุมพีถามว่า "ท่านจักรับกี่ส่วน ? แม่"
จึงบอกว่า "ส่วนเดียว." มิตตกุฎุมพีจำนางผู้รับภัตได้ทั้ง ๓ วัน, เพราะ
เหตุนั้น จึงกล่าวกะนางว่า " จงฉิบหายเถิด หญิงถ่อย วันนี้เจ้า
รู้จักประมาณท้องของเจ้าหรือ ?" ธิดามีตระกูลสมบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ
เหมือนต้องประหารด้วยหอกที่อก และเหมือนรดด้วยน้ำด่างที่แผล ร้องถาม
ว่า " อะไร ? นาย."
มิตตกุฎุมพี. วันก่อนเจ้ารับเอาไปแล้ว ๓ ส่วน. วันวาน ๒ ส่วน
วันนี้รับเอาส่วนเดียว, วันนี้ เจ้ารู้ประมาณท้องของตัวแล้วหรือ ?
กุลธิดา. นาย ท่านอย่าเข้าใจฉันว่า "รับไปเพื่อตนเองผู้เดียว."
มิต. เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงรับเอาไป ๓ ส่วน ? แม่.
กุล. ในวันก่อน พวกฉันมีกัน ๓ คน นาย, วานนี้ มี ๒ คน,
วันนี้ มีฉันผู้เดียวเท่านั้น.
มิตตกุฎุมพี จึงถามว่า " ด้วยเหตุไร ?" ฟังเรื่องทั้งหมด อัน
นางบอกแล้ว ตั้งแต่ต้น ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ เกิดความเศร้าใจ
อย่างเหลือเกิน จึงบอกว่า "แม่ เมื่อมีเหตุอย่างนี้ อย่าคิดไปเลย,
ท่านเป็นธิดาของภัททวติยเศรษฐี ตั้งแต่วันนี้ไป จงเป็นธิดาของเราเถิด"
ดังนี้แล้ว จุมพิตที่ศีรษะ นำไปสู่ที่เรือน ตั้งไว้ในตำแหน่งธิดาคนโต
ของตนแล้ว.

เพราะทำรั้วจึงชื่อสามาวดี
เศรษฐีธิดานั้น ฟังเสียงอึงคะนึงในโรงทาน จึงถามว่า " พ่อ
ทำไม พ่อจึงไม่ทำชนนี้ให้เงียบเสียงแล้วให้ทานเล่า ?"
มิตตกุฎุมพี จึงกล่าวว่า "ไม่อาจเพื่อทำได้ แม่."
ธ. อาจ พ่อ.
ม. อย่างไร ? แม่.
ธ. พ่อ ขอท่านจงล้อมโรงทาน ติดประตูไว้ ๒ แห่ง พอประมาณ
คนผู้เดียวเข้าไปได้เท่านั้นแล้ว จงบอกว่า " พวกท่านจงเข้าประตูหนึ่ง
ออกประตูหนึ่ง" ด้วยอาการอย่างนี้ ชนทั้งหลายก็จักเงียบเสียง รับทาน.
มิตตกุฎุมพีนั้น ฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า "อุบายเข้าที่ดี แม่"
ดังนี้ ให้กระทำดังนั้นแล้ว. แม้เศรษฐีธิดานั้น ในกาลก่อน ชื่อสามา,
แต่เพราะนางให้กระทำรั้ว จึงชื่อว่า สามาวดี, จำเดิมแต่นั้น ความ
โกลาหลในโรงทาน ก็ขาดหายไป. โฆสกเศรษฐีได้ฟังเสียงนั้น ในกาล
ก่อน ก็พอใจว่า " เสียงในโรงทานของเรา," แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียง
๒- ๓ วัน จึงถามมิตตกุฎุมพี ผู้มาสู่ที่บำรุงของตนว่า " ทานเพื่อคน
กำพร้าและเพื่อคนเดินทางไกลเป็นต้น อันท่านยังให้อยู่หรือ ?"
มิตตกุฎุมพี. ขอรับ นาย.
โฆสกเศรษฐี. เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไม ฉันจึงไม่ได้ยินเสียง ๒-๓
วัน ?
มิต. ฉันทำอุบาย โดยอาการที่พวกเขาจะไม่มีเสียงรับกัน.
โฆ. เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ทำในกาลก่อนเล่า ?
มิต. เพราะไม่รู้ นาย.

โฆ. เดี๋ยวนี้ ท่านรู้ได้อย่างไร ?
มิต. ลูกสาวของฉันบอกให้ นาย.
โฆ. อันลูกสาวของท่าน ที่ฉันไม่รู้จัก มีอยู่หรือ ?
มิตตกุฎุมพีนั้น เล่าเรื่องของภัททวติยเศรษฐีทั้งหมด จำเดิมแต่
เกิดอหิวาตกโรคแล้ว ก็บอกความที่ตนตั้งธิดาของเศรษฐีนั้นไว้ในตำแหน่ง
ลูกสาวคนโตของตน.
ครั้งนั้น เศรษฐีกล่าวกะมิตตกุฎุมพีนั้นว่า " เมื่อเป็นเช่นนี้
เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่บอกแก่ฉัน ? ธิดาแห่งสหายของฉัน ก็ชื่อว่า
ธิดาของฉัน " ดังนี้แล้ว ให้เรียกนางสามาวดีนั้นมาถามว่า " แม่ ท่าน
เป็นลูกสาวเศรษฐีหรือ ?"
สามาวดี. จ้ะ พ่อ.
โฆสกเศรษฐี กล่าวว่า " ถ้ากระนั้น เจ้าอย่าคิดไป เจ้าเป็น
ธิดาของฉัน " ดังนี้ จุมพิตนางสามาวดีนั้นที่ศีรษะ ให้หญิง ๕๐๐
แก่นางสามาวดีนั้น เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นบริวาร ตั้งนางสามาวดี
นั้นไว้ในตำแหน่งธิดาคนโตของตนแล้ว.

พระเจ้าอุเทนได้อัครมเหสี
อยู่มา ณ กาลวันหนึ่ง ในนครนั้น ประกาศนักขัตฤกษ์แล้ว
ก็ในงานนักขัตฤกษ์นั้น แม้กุลธิดาทั้งหลาย ผู้มิได้ออกไปภายนอก
ต่างพากันเดินไปสู่แม่น้ำ อาบน้ำกับด้วยบริวารของตน ๆ. เพราะเหตุนั้น
ในวันนั้น แม้นางสามาวดี อันหญิง ๕๐๐ แวดล้อมแล้วก็ได้ไปเพื่อ
อาบน้ำ โดยทางพระลานหลวงเช่นเดียวกัน. ฝ่ายพระเจ้าอุเทน ประทับ

อยู่ที่สีหบัญชร(๑) ทอดพระเนตรเห็นนางสามาวดีนั้น จึงตรัสถามว่า
" พวกนี้" หญิงฟ้อนของใคร ?"
ราชบุรุษ ทูลว่า " ไม่เป็นหญิงฟ้อนของใคร พระเจ้าข้า."
อุ. เมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นลูกสาวของใครเล่า ?
ร. เป็นลูกสาวของโฆสกเศรษฐี พระเจ้าข้า นางนั้นชื่อสามาวดี.
พระเจ้าอุเทน พอทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงเกิดพระสิเนหา
จึงรับสั่งให้ส่งสาสน์ไปให้เศรษฐีว่า " ได้ยินว่า ขอท่านเศรษฐี จงส่ง
ธิดามาให้แก่ฉัน."
ศ. ส่งไม่ได้ พระเจ้าข้า.
อุ. ได้ยินว่า ขอท่านเศรษฐีอย่าทำอย่างนี้เลย, ขอท่านเศรษฐี
จงส่งมา จงได้.
ศ พวกข้าพระพุทธเจ้า ชื่อว่าคฤหบดี ให้ไม่ได้ ก็เพราะกลัว
ภัยคือการโบยตีคร่านางกุมาริกา พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงกริ้ว จึงรับสั่งให้ตีตราเรือน จับเศรษฐีและภริยา
ของเศรษฐีที่มือให้ทำไว้ ณ ภายนอก. นางสามาวดีอาบน้ำแล้วกลับมา
ไม่ได้โอกาสเพื่อเข้าสู่บ้านได้ จึงถามว่า "นี่อะไร ? พ่อ" บิดาตอบว่า
" แม่ ในหลวง ส่งสาสน์มา เพราะเหตุแห่งเจ้า. เมื่อพวกเรา กล่าวว่า
' ไม่ให้ ' จึงรับสั่งให้ตราเรือน แล้วรับสั่งให้ทำพวกเราไว้ ณ ภาย-
นอก." นางสามาวดีจึงกล่าวว่า " พ่อ กรรมหนักอันพ่อทำแล้ว, ธรรมดา
พระราชา เมื่อส่งสาสน์มาแล้ว ไม่ควรทูลว่า 'ไม่ให้' ควรทูลว่า
' ถ้าพระองค์จะทรงรับธิดาของข้าพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งบริวาร ก็จะถวาย

(๑. ) หน้าต่าง.

สิพ่อ." เศรษฐีกล่าวว่า "ดีละ แม่ เมื่อเจ้าพอใจ พ่อก็จักทำตาม
อย่างนั้น" ดังนี้แล้ว จึงให้ส่งสาสน์ไปถวายพระราชาตามนั้น.
พระราชา ทรงรับว่า " ดีแล้ว" ทรงนำนางสามาวดีนั้นมา
พร้อมทั้งบริวาร ทรงอภิเษก ตั้งไว้ในตำแหน่งอัครมเหสีแล้ว. หญิง
ที่เหลือ ก็ได้เป็นบริวารของนางเหมือนกัน.
นี้เป็นเรื่องของนางสามาวดี.

พระเจ้าอุเทนถูกจับ
ก็พระเจ้าอุเทน ได้มีพระราชเทวีอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนาม
ว่า พระนางวาสุลทัตตา เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าจัณฑปัชโชต.
ความพิสดารว่า ในเมืองอุชเชนี มีพระราชาทรงพระนามว่า พระเจ้า
จัณฑปัชโชต. วันหนึ่ง พระองค์เสด็จมาจากพระราชอุทยาน ทอด
พระเนตรดูสมบัติของพระองค์แล้ว ตรัสว่า " สมบัติเช่นนี้ ของใคร ๆ
แม้อื่น มีไหมหนอ ?" เมื่ออำมาตย์กราบทูลว่า " นี่จะชื่อว่าสมบัติอะไร ?
สมบัติของพระเจ้าอุเทนในเมืองโกสัมพีมากยิ่งนัก" ดังนี้แล้ว ตรัสว่า
" ถ้าอย่างนั้น เราจักจับพระเจ้าอุเทนนั้น."
อำมาตย์. ใคร ๆ ก็ไม่สามารถจับท้าวเธอได้ พระเจ้าข้า.
พระราชา. เราจักทำอุบายบางอย่าง จับให้ได้.
อำมาตย์. ไม่สามารถดอก พระเจ้าข้า.
พระนราชา. เพราะเหตุอะไรเล่า ?
อำมาตย์. เพราะพระเจ้าอุเทนนั้น รู้ศิลปะ ชื่อหัสดีกันต์, ทรง
ร่ายมนต์แล้วดีดพิณหัสดีกันต์อยู่ จะให้ช้างหนีไปก็ได้, จะจับเอาก็ได้,

ผู้ที่พรั่งพร้อมด้วยพาหนะช้างชื่อว่าเช่นกับท้าวเธอ เป็นไม่มี.
พระราชา. เราไม่อาจที่จะจับเขาได้หรือ ?
อำมาตย์. พระเจ้าข้า หากพระองค์มีความจำนงพระทัยฉะนี้
โดยส่วนเดียวแล้ว, ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้นายช่างทำช้างไม้
ขึ้น แล้วส่งไปยังที่อยู่ของพระเจ้าอุเทนนั้น ; ท้าวเธอทรงสดับถึงพาหนะ
ช้างหรือพาหนะม้าแล้ว ย่อมเสด็จไป แม้สู่ที่ไกล, เราจักสามารถจับ
ท้าวเธอผู้เสด็จมาในที่นั้นได้.
พระราชาตรัสว่า " อุบายนี้ ใช้ได้" ดังนี้แล้ว จึงรับสั่งให้
นายช่างทำช้างยนต์สำเร็จด้วยไม้ เอาผ้าเก่าหุ้มข้างนอก แล้วทำเป็น
ลวดลาย ให้ปล่อยไปที่ริมสระแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้แว่นแคว้นของพระเจ้า
อุเทนนั้น. บุรุษ ๖๐ คนเดินไปมาภายในท้องช้าง, พวกเขานำมูลช้างมา
ทิ้งไว้ในที่นั้น ๆ. พรานป่าคนหนึ่งเห็นช้างแล้วก็คิดว่า "ช้างนี้ คู่ควร
แก่พระเจ้าแผ่นดินของเรา" ดังนี้แล้ว จึงไปกราบทูลพระเจ้าอุเทนว่า
" พระเจ้าข้า ข้าพระองค์พบช้างตัวประเสริฐซึ่งเผือกล้วน มีส่วนเปรียบ
ด้วยยอดเขาไกรลาศ คู่ควรแก่พระองค์ทีเดียว." พระเจ้าอุเทน
ให้พรานป่านั้นแลเป็นผู้นำทาง ขึ้นทรงช้างพร้อมด้วยบริวาร เสด็จออก
ไปแล้ว เหล่าจารบุรุษ ทราบการเสด็จมาของท้าวเธอ จึงไปกราบทูล
แด่พระเจ้าจัณฑปัชโชต. พระเจ้าจัณฑปัชโชตนั้นเสด็จมาแล้ว ซุ่มพล
นิกายไว้ ๒ ข้าง ปล่อยว่างไว้ตรงกลาง. พระเจ้าอุเทนไม่ทรงทราบถึง
การเสด็จมาของท้าวเธอ จึงติดตามช้างไป. มนุษย์ที่อยู่ข้างใน รีบพา
ช้างไม้หนีไปโดยเร็ว เมื่อพระราชา ทรงร่ายมนต์ดีดพิณอยู่, ช้างไม้
ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงแห่งสายพิณ หนีไปถ่ายเดียว. พระราชาไม่

อาจทันพระยาช้างได้ จึงเสด็จขึ้นม้าติดตามไป. เมื่อท้าวเธอรีบตามไปโดย
เร็ว พลนิกายก็ล้าหลัง. พระราชาได้เป็นผู้ ( เสด็จ) พระองค์เดียว
เท่านั้น. ครั้งนั้นเหล่าบุรุษของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ซึ่งดักซุ่มอยู่แล้ว ณ ๒
ข้าง (ทาง ) จึงจับท้าวเธอถวายพระเจ้าแผ่นดินของตน. ต่อมา พลนิกาย
ของท้าวเธอ ทราบว่า พระราชาของตนตกไปสู่อำนาจแห่งข้าศึกแล้ว
จึงตั้งค่ายอยู่ภายนอก.

พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงให้พระธิดาเรียนมนต์
ฝ่ายพระเจ้าจัณฑปัชโชต ทรงสั่งให้จับพระเจ้าอุเทนอย่างจับเป็น
แล้วขังไว้ในเรือนขังโจรหลังหนึ่ง ให้ปิดประตูเสีย ทรงดื่มน้ำชัยบาน
ตลอด ๓ วัน. ในวันที่ ๘ พระเจ้าอุเทนทรงถามพวกผู้คุมว่า
"พ่อทั้งหลาย พระเจ้าแผ่นดินของพวกเจ้าไปไหนเสีย."
พวกผู้คุม. พระเจ้าแผ่นดิน ทรงดื่มน้ำชัยบาน ด้วยทรงยินดีว่า
เราจับปัจจามิตรได้.
พระเจ้าอุเทน. พระเจ้าแผ่นดินของพวกเจ้ามีกิริยาช่างกระไร ดัง
ผู้หญิง, การจับพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นศัตรูกันได้แล้ว จะปล่อยหรือฆ่าเสีย
จึงควรมิใช่หรือ ? นี่สิ กลับให้เรานั่งทนทุกข์ แล้วไปนั่งดื่มน้ำชัยบาน
เสีย.
ผู้คุมเหล่านั้น ก็พากันไปทูลเนื้อความนั้นแด่พระราชา พระองค์
เสด็จไปตรัสถามว่า " ได้ยินว่า ท่านพูดอย่างนี้ จริงหรือ ?"
อุเทน. ถูกแล้ว ท่านมหาราชเจ้า.
จัณฑปัชโชต. ดีละ เราจักปล่อยท่าน, ทราบว่า ท่านมีมนต์
เช่นนี้, ท่านจักไหม้มนต์นั้นแก่เราไหม ?

อุ. ตกลง ข้าพเจ้าจักให้. ในเวลาเรียน จงไหว้ข้าพเจ้าแล้วเรียน
มนต์นั้น; ก็ท่านจักไหว้ข้าพเจ้าหรือไม่เล่า ?
จ. เราจักไหว้ท่านทำไมเล่า ?
อุ. ท่านจักไม่ไหว้หรือ ?
จ. เราจักไม่ไหว้.
อุ. แม้ข้าพเจ้า ก็จักไม่ให้.
จ. เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักลงราชอาชญาแก่ท่าน.
อุ. เชิญทำเถิด, ท่านเป็นอิสระแก่ร่างกายของข้าพเจ้า, แต่ไม่
เป็นอิสระแก่จิต.
พระราชาทรงสดับถ้อยคำอันองอาจของท้าวเธอแล้ว จึงทรงดำริ
ว่า " เราจักเรียนมนต์ของพระเจ้าอุเทนนี้ ได้อย่างไรหนอ ?" แล้วทรง
คิดได้ว่า " เราไม่อาจให้คนอื่นรู้มนต์นี้, เราจักให้ธิดาของเราเรียนใน
สำนักพระเจ้าอุเทนนี้ แล้วจึงเรียนในสำนักของนาง." ลำดับนั้น ท้าวเธอ
จึงตรัสกะพระเจ้าอุเทนนั้นว่า "ท่านจักให้แก่คนอื่นผู้ไหว้แล้วเรียนเอา
หรือ ?"
อุ. อย่างนั้น ท่านมหาราช.
จ. ถ้ากระนั้น ในเรือนของเรามีหญิงค่อมอยู่คนหนึ่ง, ท่านยืนอยู่
ภายนอกม่าน จงบอกมนต์แก่หญิงนั้น ผู้นั่งอยู่ภายในม่านเถิด.
อุ. ดีละ ท่านมหาราช นางจะเป็นคนค่อมหรือคนง่อย ก็ช่าง
เถอะ, เมื่อนางไหว้, ข้าพเจ้าจักให้.
ลำดับนั้น พระราชาเสด็จไปตรัสบอกพระนางวาสุลทัตตาราชธิดา
ว่า " ลูกหญิง ชายเป็นโรคเรื้อนน้ำเต้าคนหนึ่ง รู้มนต์หาค่ามิได้,


พ่อไม่อาจที่จะให้คนอื่นรู้มนต์นั้นได้, เจ้าจงนั่งภายในม่านไหว้ชายนั้น
แล้วเรียนมนต์, ชายนั้น ยืนอยู่ภายนอกม่าน จักบอกแก่เจ้า, พ่อจัก
เรียนจากสำนักของเจ้า." พระเจ้าจัณฑปัชโชตนั้นตรัสทำให้พระราชธิดา
เป็นหญิงค่อม ฝ่ายพระเจ้าอุเทนให้เป็นชายโรคเรื้อนน้ำเต้าอย่างนี้ เพราะ
ทรงเกรงคนทั้งสองนั้นจะทำสันถวะกันและกัน. พระเจ้าอุเทนนั้นประทับ
ยืนอยู่นอกม่านเทียว ได้ตรัสบอกมนต์แก่พระนางผู้ไหว้แล้วนั่งภายใน
ม่าน.

พระอัครมเหสีองค์ที่ ๒ ของพระเจ้าอุเทน
ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าอุเทนตรัสกะพระนาง ผู้แม้อันท้าวเธอ
ตรัสบอกบ่อยๆ ก็ไม่สามารถจะกล่าวบทแห่งมนต์ได้ว่า "เหวย อีหญิง
ค่อม ! ปากของมึงมีริมขอบและกระพุ้งแก้มอันหนานัก, มึงจงว่าไปอย่าง
นี้." พระนางทรงกริ้ว จึงตรัสว่า " เหวย อ้ายขี้เรื้อน ชั่วชาติ มึง
พูดอะไร ? คนเช่นกูนะหรือ ชื่อว่าหญิงค่อม ?" ดังนี้แล้ว ทรงยกมุม
ม่านขึ้น, เมื่อพระเจ้าอุเทนตรัสถามว่า " ท่านเป็นใคร ?" จึงตรัส
บอกว่า "เราชื่อ วาสุลทัตตา ธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน."
พระเจ้าอุเทน. บิดาของท่าน เมื่อตรัสถึงท่านแก่เรา ก็ตรัสว่า
"หญิงค่อม."
วาสุลทัตตา. แม้เมื่อตรัสแก่เรา พระบิดาก็ทรงกล่าวกระทำให้ท่าน
เป็นคนโรคเรื้อนน้ำเต้า. ทั้งสององค์นั้น ทรงดำริว่า "คำนั้น ท้าวเธอ
คงจักตรัสด้วยเกรงเราจะทำสันถวะกัน" แล้วก็ทรงทำสันถวะกันในภายใน
ม่านนั่นเอง.

จำเดิมแต่นั้น การเรียนมนต์หรือการเรียนศิลปะจึงไม่มี.
ฝ่ายพระราชาทรงถามพระธิดาเป็นนิตย์ว่า " เจ้ายังเรียนศิลปะ
อยู่หรือ ? ลูก."
พระนางตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดา กระหม่อมฉันยังเรียนอยู่ เพคะ."
ต่อมา วันหนึ่ง พระเจ้าอุเทนตรัสกะพระนางว่า "นางผู้เจริญ
ชื่อว่าหน้าที่ซึ่งสามีพึงกระทำ มารดาบิดา พี่น้องชาย และพี่น้องหญิง
ไม่สามารถจะทำได้เลย; หากเธอจักให้ชีวิตแก่เรา, เราจักให้หญิง ๕๐๐
นางเป็นบริวาร แล้วให้ตำแหน่งอัครมเหสีแก่เธอ."
พระนางตรัสว่า " ถ้าพระองค์ จักอาจเพื่อตั้งอยู่ในพระดำรัสนี้,
หม่อมฉันก็จักถวายทานนี้แด่พระองค์."
พระเจ้าอุเทนตรัสตอบว่า "พระน้องหญิง เราจักอาจ."
พระนางทรงรับพระดำรัสว่า "ตกลง เพคะ" ดังนี้แล้วก็เสด็จ
ไปสู่สำนักพระราชบิดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น
ท้าวเธอตรัสถามพระนางว่า " ศิลปะสำเร็จแล้วหรือ ? ลูกหญิง."
วาสุลทัตตา. ข้าแต่พระบิดา ศิลปะยังไม่สำเร็จก่อน เพคะ.
ลำดับนั้น พระเจ้าจัณฑปัชโชต ตรัสถามพระนางว่า " ทำไมเล่า
ลูกหญิง ?"
วาสุลทัตตา. ข้าแต่พระบิดา กระหม่อมฉันควรจะได้ประตูประตู ๑
กับพาหนะตัว ๑.
จัณฑปัชโชต. นี้ เป็นอย่างไรเล่า ลูกหญิง ?
วาสุลทัตตา. ข้าแต่พระบิดา ทราบว่า มีโอสถขนานหนึ่งจะต้อง
เก็บในเวลากลางคืน ด้วยสัญญาดวงดาว เพื่อประโยชน์เป็นอุปการะแห่งมนต์, เพราะฉะนั้น ในเวลาที่หม่อมฉัน ออกไปในเวลาหรือนอกเวลา
จึงควรที่จะได้ประตูประตูหนึ่ง กับพาหนะตัวหนึ่ง.
พระราชาตรัสรับว่า "ได้."
พระเจ้าอุเทนและพระนางวาสุลทัตตานั้น ได้ทรงยืดประตูหนึ่ง
ซึ่งตนพอใจ ไว้ในเงื้อมมือแล้ว.

พาหนะ ๕ ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต
ก็พระราชา มีพาหนะทั้ง ๕ คือ :-
นางช้างตัว ๑ ชื่อ ภัททวดี ไปได้วันละ ๕๐ โยชน์.
ทาสชื่อว่า กากะ ไปได้ ๖๐ โยชน์.
ม้า ๒ ตัว คือ ม้าเวลกังสิ และม้ามุญชเกสิ ไปได้ ๑๐๐ โยชน์
ช้างนาฬาคิรี ไปได้ ๑๒๐ โยชน์.

ประวัติที่จะได้พาหนะเหล่านั้น
ดังได้ยินมา พระราชาพระองค์นั้น ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้ทรง
อุบัติขึ้น ได้เป็นคนรับใช้ของอิสรชนผู้หนึ่ง. ต่อมา วันหนึ่งเมื่ออิสรชน
ผู้นั้น ไปนอกพระนคร อาบน้ำแล้วมาอยู่, พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
เข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต ไม่ได้ภิกษาเลยสักอย่างหนึ่ง เพราะ
ชาวเมืองทั้งสิ้นถูกมารดลใจ มีบาตรตามที่ล้างไว้แล้ว (เปล่า)
ออกไป. ลำดับนั้น มารเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ด้วยเพศที่ไม่มี18
ใครรู้จัก แล้วถามท่านในขณะที่ท่านถึงประตูพระนครว่า "ท่านเจ้าข้า
ท่านได้อะไร ๆ บ้างไหม ?" พระปัจเจกพุทธเจ้า ตอบว่า "ก็เจ้าทำ
อาการคืออันไม่ได้แก่เราแล้วหรือมิใช่หรือ ?"

ม. ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกลับเข้าไปอีก, คราวนี้ ข้าพเจ้าจัก
ไม่ทำ.
ป. เราจักไม่กลับอีก.
ก็ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นพึงกลับไปไซร้ มารนั้นจะพึงสิงร่าง
ของชาวเมืองทั้งสิ้น แล้วปรบมือทำการหัวเราะเย้ยอีก, เมื่อพระปัจเจก-
พุทธเจ้าไม่กลับ มารก็หายไปในที่นั้นเอง. ขณะนั้นอิสรชนผู้นั้น
พอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้มาอยู่ด้วยทั้งบาตรตามที่ล้างไว้แล้ว (เปล่า)
จึงไหว้ แล้วถามว่า "ท่านเจ้าข้า ท่านได้อะไร ๆ บ้างไหม ?" ท่าน
ตอบว่า "ผู้มีอายุ ฉันเที่ยวไปแล้ว ออกมาแล้ว." เขาคิดว่า "พระ-
ผู้เป็นเจ้า ไม่ตอบคำที่เราถาม กลับกล่าวคำอื่นเสีย, ท่านคงจักยังไม่ได้
อะไร ๆ." ในทันใดนั้น เขาแลดูบาตรของท่าน เห็นบาตรเปล่า ก็เป็น
ผู้แกล้วกล้า แต่ไม่อาจรับบาตร เพราะยังไม่รู้ว่า ภัยในเรือนของตน
เสร็จแล้วหรือยังไม่เสร็จ จึงกล่าวว่า " ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงรอหน่อย"
ดังนี้แล้ว ก็ไปสู่เรือนโดยเร็ว ถามว่า "ภัตสำหรับเราเสร็จแล้วหรือ ?"
เมื่อคนรับใช้ตอบว่า " เสร็จแล้ว" จึงกล่าวกะคนรับใช้นั้นว่า "พ่อ
คนอื่นที่มีความเร็วอันสมบูรณ์กว่าเจ้าไม่มี, ด้วยฝีเท้าอันเร็ว เจ้าจง
ไปถึงพระผู้เป็นเจ้านั้น กล่าวว่า ' ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงให้บาตร,'
แล้วรับบาตรพาโดยเร็ว." เขาวิ่งไปด้วยคำสั่งคำเดียวเท่านั้น รับบาตร
นำมาแล้ว. แม้อิสรชนทำบาตรให้เต็มด้วยโภชนะของตน แล้วกล่าวว่า
"เจ้าจงรีบไป ถวายบาตรนี้แก่พระผู้เป็นเจ้า เราจะให้ส่วนบุญ แต่ทาน
นี้ แก่เจ้า." เขารับบาตรนั้นแล้วไปด้วยฝีเท้า (เร็ว) ถวายบาตรแก่พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า

เวลาจวนแจแล้ว, ข้าพเจ้าไปและมา ด้วยฝีเท้าอันเร็วยิ่ง, ด้วยผลแห่ง
ฝีเท้าของข้าพเจ้านี้ ขอพาหนะทั้งหลาย ๕ ซึ่งสามารถจะไปได้ ๕๐ โยชน์
๖๐ โยชน์ ๑๐๐ โยชน์ ๑๒๐ โยชน์ จงเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า, อนึ่ง
ร่างกายของข้าพเจ้าผู้มาอยู่และไปอยู่ ถูกแสงแห่งดวงอาทิตย์แผดเผาแล้ว,
ด้วยผลแห่งความที่ร่างกายถูกแสงแห่งดวงอาทิตย์แผดเผานั้นของข้าพเจ้า
ขออาชญาของข้าพเจ้า จงแผ่ไปเช่นกับแสงแห่งดวงอาทิตย์ ในที่ ๆ เกิด
แล้วและเกิดแล้ว; ส่วนบุญในเพราะบิณฑบาตนี้ อันนายให้แล้วแก่
ข้าพเจ้า, ด้วยผลอันไหลออกแห่งส่วนบุญนั้น ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้มีส่วน
แห่งธรรมอันท่านเห็นแล้ว." พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า " ขอความ
ปรารถนาที่ท่านตั้งไว้นี้ จงสำเร็จ" แล้วได้กระทำอนุโมทนาว่า :-
"สิ่งที่ต้องการแล้ว ปรารถนาแล้ว จงพลัน
สำเร็จแก่ท่าน, ขอความดำริทั้งปวง จงเต็ม ดัง
พระจันทร์ ซึ่งมีในดิถีที่ ๑๕. สิ่งที่ต้องการแล้ว
ปรารถนาแล้ว จงพลันสำเร็จแก่ท่าน, ขอความดำริ
ทั้งปวง จงเต็ม ดังแก้วมณี ชื่อว่าโชติรส."
ได้ทราบว่า คาถา ๒ คาถานี้แล ชื่อว่า คาถาอนุโมทนาของ
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย. รัตนะคือแก้วมณี อันให้สิ่งที่มุ่งหมายทั้งปวง
[แก้วสารพัดนึก] เรียกว่า "แก้วมณีโชติรส" ในคาถานั้น. นี้เป็น
บุรพจริตแห่งบุรุษรับใช้นั้น. เขาได้เป็นพระเจ้าจัณฑปัชโชตในบัดนี้.
และด้วยผลอันไหลออกแห่งกรรมนั้น พาหนะ ๕ เหล่านี้จึงเกิดขึ้น.

พระเจ้าอุเทนหนี
ต่อมาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จออก เพื่อทรงกีฬาในพระราช-
อุทยาน. พระเจ้าอุเทนทรงดำริว่า " เราควรจะหนีไป ในวันนี้ "
จึงทรงบรรจุกระสอบหนังใหญ่ ๆ ให้เต็มด้วยเงินและทอง วางเหนือหลัง
นางช้าง แล้วพาพระนางวาสุลทัตตาหนีไป. ทหารรักษาวังทั้งหลาย
เห็นพระเจ้าอุเทน กำลังหนีไป จึงกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรง
ส่งพลไปด้วยพระดำรัสสั่งว่า " พวกเจ้าจงไปเร็ว ." พระเจ้าอุเทน
ทรงทราบว่า พลนิกายไล่ตามแล้ว จึงทรงแก้กระสอบกหาปณะ ทำ
กหาปณะให้ตก. พวกมนุษย์เก็บกหาปณะขึ้นแล้วไล่ตามไปอีก. ฝ่าย
พระเจ้าอุเทน ก็ทรงแก้กระสอบทองแล้วทำให้ตก เมื่อมนุษย์เหล่านั้น
มัวเนิ่นช้าอยู่ เพราะความละโมบในทอง ก็เสด็จถึงค่ายของพระองค์ ซึ่ง
ตั้งอยู่ภายนอก. ขณะนั้น พลนิกายพอเห็นท้าวเธอเสด็จมา ก็แวดล้อมเชิญ
เสด็จให้เข้าไปสู่พระนครของตน. ท้าวเธอครั้นพอเสด็จไปแล้ว ก็อภิเษก
พระนางวาสุลทัตตา ตั้งไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี.
นี้เป็นเรื่องของพระนางวาสุลทัตตา.

ประวัตินางมาคันทิยา
อนึ่ง หญิงอื่นอีก ชื่อว่า นางมาคันทิยา ก็ได้ตำแหน่งแห่ง
อัครมเหสี แต่สำนักของพระราชา. ได้ยินว่า นางเป็นธิดาของพราหมณ์
ชื่อมาคันทิยะ ในแคว้นกุรุ, แม้มารดาของนางก็ชื่อว่ามาคันทิยาเหมือน
กัน. ถึงอาของนางก็ชื่อว่า มาคันทิยะด้วย นางเป็นคนมีรูปงามเปรียบ
ด้วยเทพอัปสร. ก็บิดาของนาง เมื่อไม่ได้สามีที่คู่ควร [แก่นาง] แม้จะถูกตระกูลใหญ่ ๆ อ้อนวอน ก็กลับตะเพิดเอาว่า " พวกท่านไม่คู่ควร
แก่ลูกสาวของฉัน " แล้วไล่ส่งไป. ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจ
ดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งอนาคามิผล ของมาคันทิย-
พราหมณ์ พร้อมทั้งปชาบดี(๑ ) ทรงถือบาตรจีวรของพระองค์แล้ว ได้เสด็จ
ไปสู่สถานเป็นที่บำเรอไฟของพราหมณ์นั้น ในภายนอกนิคม. พราหมณ์
นั้นแลเห็นอัตภาพอันเลิศด้วยความงามแห่งพระรูปของพระตถาคตแล้ว ก็
คิดว่า " ชื่อว่าบุรุษอื่นผู้เช่นกับบุรุษนี้ ย่อมไม่มีในโลกนี้, บุรุษนี้เป็นผู้
คู่ควรแก่ธิดาของเรา, เราจักให้ธิดาของเราแก่บุรุษนี้ เพื่อประโยชน์จะได้
เลี้ยงดูกัน" ดังนี้แล้วจึงกล่าวว่า " ท่านสมณะ ธิดาของข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่ง
ข้าพเจ้ายังไม่เห็นชายผู้คู่ควรแก่นาง ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้, ท่านเป็น
ผู้คู่ควรแก่นาง, และนางก็เป็นผู้คู่ควรแก่ท่านแท้, ควรท่านได้นางไว้เป็น
บาทบริจาริกา และนางก็ควรได้ท่านไว้เป็นภัสดา, เราจักให้นางแก่ท่าน
ท่านจงยืนอยู่ในที่นี้แล จนกว่าข้าพเจ้าจะไป (กลับมา)." พระศาสดา
ไม่ตรัสอะไร ได้ทรงดุษณีภาพ. พราหมณ์ไปสู่เรือนโดยเร็วกล่าว
(กะนางพราหมณี) ว่า " นาง ! นาง ! เราเห็นผู้ที่สมควรแก่ลูกสาว
ของเราแล้ว, หล่อนจงแต่งตัวลูกเร็ว ๆ เข้า " ให้ธิดานั้นแต่งตัวแล้ว
พาไป พร้อมกับนางพราหมณี ได้ไปสู่สำนักของพระศาสดา. ทั่วพระนคร
กึกก้อง (แตกตื่น) ว่า " พราหมณ์นี้ไม่ให้ (ลูกสาว) แก่ใคร ๆ
ด้วยอ้างว่า "ชายผู้สมควรแก่ลูกสาวของเราไม่มี " ตลอดกาลมีประมาณ
เท่านี้. ได้ยินว่า "เขากล่าวว่า 'วันนี้ เราเห็นชายผู้สมควรแก่ลูกสาว

(๑.) ภรรยา.

ของเราแล้ว,' ชายผู้นั้นจะเป็นเช่นไรหนอ ? พวกเราจักดูชายผู้นั้น."
มหาชนจึงออกไปพร้อมกับพราหมณ์นั้นด้วย. เมื่อพราหมณ์นั้นพาธิดา
มาอยู่. พระศาสดามิได้ประทับยืนในที่ที่พราหมณ์นั้นพูดไว้ ทรงแสดง
เจดีย์คือรอยพระบาทไว้ในที่นั้นแล้ว ได้เสด็จไปประทับยืนในที่อื่น.
แท้จริง เจดีย์คือรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมปรากฏในที่
ที่พระองค์ทรงอธิษฐานแล้วเหยียบไว้เท่านั้น, ย่อมไม่ปรากฏในที่อื่น;
อนึ่ง เจดีย์คือรอยพระบาท เป็นสิ่งที่ทรงอธิษฐานไว้เพื่อประสงค์แก่
บุคคลเหล่าใด, บุคคลเหล่านั้นจำพวกเดียว ย่อมแลเห็นเจดีย์คือรอย
พระบาทนั้น; ก็สัตว์มีช้างเป็นต้น จงเหยียบก็ตาม, มหาเมฆ (ห่าฝน
ใหญ่) จงตกก็ตาม, ลมบ้าหมู จงพัดก็ตาม เพื่อจะให้บุคคลเหล่านั้น
แลไม่เห็น, ใครๆ ก็ไม่สามารถเพื่อจะลบเจดีย์คือรอยพระบาทนั้นได้.
ลำดับนั้น นางพราหมณี กล่าวกะพราหมณ์ว่า "ชายนั้นอยู่ที่ไหน ?"
พราหมณ์คิดว่า " เราได้พูดกะเขาว่า ' ท่านจงยืนอยู่ในที่นี้,' เขาไปเสีย
ในที่ไหนหนอ ?" แลดูอยู่ ก็เห็นเจดีย์คือรอยพระบาท จึงกล่าวว่า
" นี้เป็นรอยเท้าของผู้นั้น." นางพราหมณีร่ายลักษณะมนต์แล้วตรวจตรา
ดูลักษณะแห่งรอยพระบาท เพราะความเป็นผู้แคล่วคล่องในเวททั้ง ๓
พร้อมทั้งมนต์สำหรับทายลักษณะ กล่าวว่า " ท่านพราหมณ์ นี้มิใช่
รอยเท้าของผู้มักเสพกามคุณ ๕" แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
"ก็คนเจ้าราคะ พึงมีรอยเท้ากระหย่ง (เว้า
กลาง), คนเจ้าโทสะ ย่อมมีรอยเท้าอันส้นบีบ
(หนักส้น), คนเจ้าโมหะ ย่อมมีรอยเท้าจิกลง

(หนักทางปลายนิ้วเท้า), คนมีกิเลสเครื่องมุงบังอัน
เปิดแล้ว มีรอยเช่นนี้ นี้."
ลำดับนั้น พราหมณ์กล่าวกะนางว่า " นาง หล่อนเป็นผู้มีปกติ
เห็นมนต์ เหมือนจระเข้ในตุ่มน้ำ เหมือนโจรอยู่ในท่ามกลางเรือน,
จงนิ่งเสียเถิด." นางพราหมณีกล่าวว่า " ท่านพราหมณ์ ท่านอยากจะ
พูดคำใด ก็จงพูดคำนั้น; รอยเท้านี้ มิใช่รอยเท้าของผู้มักเสพกามคุณ ๕."
พราหมณ์แลดูข้างโน้นข้างนี้ เห็นพระศาสดาแล้วกล่าวว่า " นี้ คือ
ชายผู้นั้น" จึงไปกล่าวว่า " ท่านสมณะ ข้าพเจ้าจะให้ธิดาเพื่อต้องการ
ได้เลี้ยงดูกัน ." พระศาสดาไม่ตรัสเลยว่า " เรามีความต้องการด้วยธิดา
ของท่านหรือไม่มี" ตรัสว่า " พราหมณ์ เราจะกล่าวเหตุอันหนึ่งแก่
ท่าน," เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า " จงกล่าวเถิดท่านสมณะ" จึงตรัสบอก
การที่พระองค์ถูกมารติดตาม ตั้งแต่ออกผนวช จนถึงโคนต้นอชปาล-
นิโครธและการประเล้าประโลมอันธิดามารทั้งหลายผู้มาเพื่อระงับความโศก
ของมารนั้น ผู้โศกาดูรอยู่ว่า " บัดนี้ พระสมณโคดมนี้ล่วงวิสัยแห่ง
เราเสียแล้ว" ประกอบขึ้นด้วยสามารถแห่งเพศนางกุมาริกาเป็นต้น ที่
โคนต้นอชปาลนิโครธ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
" เรามิได้มีความพอใจในเมถุน เพราะเห็นนาง
ตัณหา นางอรดี และนางราคา, ไฉนเล่า ? จักมีความ
พอใจเพราะเห็นธิดาของท่านนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยมูตร
และกรีส, เราไม่ปรารถนาจะถูกต้องธิดาของท่านนี้
แม้ด้วยเท้า."



ในที่สุดแห่งคาถา พราหมณ์และพราหมณี ก็ตั้งอยู่ในอนาคามิผล.
ฝ่ายนางมาคันทิยาผู้เป็นธิดาแล ผูกอาฆาตในพระศาสดา ว่า " ถ้าสมณะ
นั้น ไม่มีความต้องการด้วยเรา, ก็ควรกล่าวถึงความที่ตนไม่มีความ
ต้องการ; แต่สมณะนี้ ( กลับ) ทำให้เราเป็นผู้เต็มไปด้วยมูตรและกรีส;
เอาเถอะ, เราอาศัยความถึงพร้อมด้วยชาติ, ตระกูล, ประเทศ, โภคะ
ยศและวัย ได้ภัสดาเห็นปานนั้นแล้ว จักรู้กรรมอันเราควรทำแก่สมณ-
โคดม.
ถามว่า " ก็พระศาสดา ทรงทราบความเกิดขึ้นแห่งความอาฆาต
ในพระองค์ ของนางหรือไม่ทรงทราบ ?"
ตอบว่า "ทรงทราบเหมือนกัน."
ถามว่า "เมื่อพระองค์ทรงทราบ เหตุไฉนจึงตรัสพระคาถา ?"
ตอบว่า " พระองค์ตรัสพระคาถา ด้วยสามารถแห่งพราหมณ์และ
พราหมณีทั้งสองนอกนี้."
ธรรมดา พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงคำนึงถึงความอาฆาต ย่อม
ทรงแสดงธรรม ด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้ควรบรรลุมรรคผลเท่านั้น.
มารดาบิดา พานางมาคันทิยานั้น ไปฝากนายจูฬมาคันทิยะ ผู้เป็น
น้องชายแล้วไปสู่สำนักของพระศาสดา ทั้งสองคนบวชแล้ว ก็ได้บรรลุ
อรหัตผล.
ฝ่ายนายจูฬมาคันทิยะคิดว่า " ธิดาของเราไม่ควรแก่ผู้ต่ำช้า,
ควรแก่พระราชาผู้เดียว" จึงพานางไปสู่เมืองโกสัมพี ตบแต่งด้วยเครื่อง
ประดับทั้งปวงแล้ว ได้ถวายแด่พระเจ้าอุเทน ด้วยคำว่า " นางแก้วนี้
ควรแก่สมมติเทพ (ฝ่าละอองธุลีพระบาท). " พระเจ้าอุเทนนั้นพอ

ทอดพระเนตรเห็นนาง ก็เกิดสิเนหาอย่างแรงกล้า จึงประทานการอภิเษก
ทำมาตุคาม ๕๐๐ ให้เป็นบริวารของนาง ตั้งไว้ในตำแหน่งแห่งอัครมเหสี
แล้ว.
นี้เป็นเรื่องของนางมาคันทิยา.
พระเจ้าอุเทนนั้น ได้มีอัครมเหสี ๓ นาง ซึ่งมีหญิงฟ้อน ๑,๕๐๐
นางเป็นบริวาร ด้วยประการดังนี้.

สามเศรษฐีกับดาบส
ก็ในสมัยนั้นแล เมืองโกสัมพี มีเศรษฐี ๓ คน คือ โฆสก-
เศรษฐี, กุกกุฏเศรษฐี, ปาวาริกเศรษฐี, เศรษฐีเหล่านั้น เมื่อวัสสูป-
นายิกาใกล้เข้ามาแล้ว, เห็นดาบส ๕๐๐ มาจากหิมวันตประเทศ กำลัง
เที่ยวไปเพื่อภิกษาในพระนคร ก็เลื่อมใส จึงนิมนต์ให้นั่ง ให้ฉันแล้ว
รับปฏิญญาให้อยู่ในสำนักของตนตลอด ๔ เดือน ให้ปฏิญญาเพื่อต้องการ
แก่อันมาอีก ในสมัยที่ชุ่มด้วยฝน (ฤดูฝน) แล้วส่งไป. จำเดิมแต่นั้น
แม้ดาบสทั้งหลาย อยู่ในหิมวันตประเทศตลอด ๘ เดือนแล้ว จึงอยู่ใน
สำนักของเศรษฐีเหล่านั้น ตลอด ๔ เดือน. ดาบสเหล่านั้น เมื่อมาจาก
หิมวันตประเทศในเวลาอื่น เห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ในแดนอรัญ จึง
นั่งที่โคนต้นไทรนั้น. บรรดาดาบสเหล่านั้น ดาบสผู้เป็นหัวหน้าคิดว่า
"เทวดาผู้สิงอยู่ในต้นไม้นี้ จักมิใช่เทวดาผู้ต่ำศักดิ์, เทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่
ทีเดียวพึงมีที่ต้นไทรนี้; เป็นการดีหนอ, ถ้าหากเทวราชนี้พึงให้
น้ำควรดื่มแก่หมู่ฤษี." เทวราชนั้นได้ถวายน้ำดื่มแล้ว. ดาบสคิดถึงน้ำอาบ.
เทวราชก็ได้ถวายน้ำอาบแม้นั้น. ต่อจากนั้น ดาบสผู้เป็นหัวหน้าก็คิดถึง

โภชนะ เทวราชก็ถวายโภชนะแม้นั้น. ลำดับนั้น ดาบสนั้นได้มีความปริ-
วิตกนี้ว่า "เทวราชนี้ให้ทุกสิ่งที่เราคิดแล้ว, เออหนอ เราพึงเห็นเทวราช
นั้น." เทวราชนั้น ชำแรกลำต้นไม้ แสดงตนแล้ว. ขณะนั้น ดาบส
ทั้งหลายถามเทวราชนั้นว่า " ท่านเทวราช ท่านมีสมบัติมาก สมบัตินี้
ท่านได้แล้ว เพราะทำกรรมอะไรหนอ ?"
เทวราช. ขออย่าซักถามเลย พระผู้เป็นเจ้า.
ดาบส. จงบอกมาเถิด ท่านเทวราช.
เทวราชนั้นละอายอยู่ เพราะกรรมที่ตนทำไว้เป็นกรรมเล็กน้อย
จึงไม่กล้าจะบอก, แต่เมื่อถูกดาบสเหล่านั้นเซ้าซี้บ่อย ๆ ก็กล่าวว่า
"ถ้าเช่นนั้น ขอท่านทั้งหลายจงฟัง" ดังนี้แล้ว จึงเล่า.

ประวัติเทวดา
ได้ยินว่า เทวราชนั้นเป็นคนเข็ญใจคนหนึ่ง แสวงหาการงาน
จ้างอยู่ ได้การงานจ้างในสำนักของอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว ก็อาศัย
การงานนั้นเลี้ยงชีวิต. ต่อมา เมื่อถึงวันอุโบสถวันหนึ่ง อนาถบิณฑิก-
เศรษฐี มาจากวิหารแล้ว ถามว่า " ในวันนี้ ใคร ๆ ได้บอกความเป็น
วันอุโบสถแก่ลูกจ้างคนนั้นแล้วหรือ ?" คนในบ้านตอบว่า " ข้าแต่นาย
ยังไม่ได้บอก." อนาถบิณฑิกะกล่าวว่า " ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงหุง
หาอาหารเป็นไว้สำหรับเขา." คราวนั้น คนเหล่านั้นก็หุงข้าวสุกแห่ง
ข้าวสารกอบหนึ่งไว้เพื่อชายนั้น. ชายนั้นทำงานในป่าตลอดวันนั้น มา
ในเวลาเย็น เมื่อเขาคดข้าวให้ ก็ยังไม่บริโภคโดยพลันก่อน ด้วยคิดว่า
" เราเป็นผู้หิวแล้ว" คิดว่า "ในวันทั้งหลายอื่น ความโกลาหลใหญ่

ย่อมมีในเรือนนี้ว่า ' ขอท่านจงให้ข้าว ขอท่านจงให้แกง ขอท่านจงให้
กับ,' ในวันนี้ ทุกคนเป็นผู้เงียบเสียง นอนแล้ว, พากันคดอาหารไว้
เพื่อเราคนเดียวเท่านั้น; นี้เป็นอย่างไรหนอ ?" จึงถามว่า " คนที่เหลือ
บริโภคแล้วหรือ ?" คนทั้งหลายตอบว่า " ไม่บริโภค พ่อ."
ผู้รับจ้าง. เพราะเหตุไร ?
คนทั้งหลาย. ในเรือนนี้ เขาไม่หุงอาหารในเย็นวันอุโบสถทั้งหลาย.
คนทุกคน ย่อมเป็นผู้รักษาอุโบสถ, โดยที่สุด เด็กแม้ผู้ยังดื่มนม ท่าน
มหาเศรษฐี ก็ให้บ้วนปาก ให้ใส่ของมีรสหวาน ๔ ชนิด(๑ ) ลงในปาก
ทำให้เป็นผู้รักษาอุโบสถแล้ว, เมื่อประทีปซึ่งระคนด้วยน้ำหอม สว่างอยู่
เด็กเล็กและเด็กใหญ่ทั้งหลายไปสู่ที่นอนแล้ว ย่อมสาธยายอาการ ๓๒;
แต่ว่า พวกเรามิได้ทำสติไว้ เพื่อจะบอกความที่วันนี้เป็นวันอุโบสถแก่
ท่าน, เพราะเหตุนั้น พวกเราจึงหุงข้าวไว้เพื่อท่านคนเดียว, ท่านจงรับ
ประทานอาหารนั้นเถิด.
ผู้รับจ้าง. ถ้าการที่เราเป็นผู้รักษาอุโบสถในบัดนี้ ย่อมควรไซร้
แม้เราก็พึงเป็นผู้รักษาอุโบสถ.
คนทั้งหลาย. เศรษฐีย่อมรู้เรื่องนี้.
ผู้รับจ้าง. ถ้าเช่นนั้น ขอพวกท่านจงถามเศรษฐีนั้น.
คนเหล่านั้น ไปถามเศรษฐีแล้ว เศรษฐีกล่าวอย่างนี้ว่า "ชาย
นั้นไม่บริโภคในบัดนี้ บ้วนปากแล้ว อธิษฐานองค์อุโบสถทั้งหลาย จัก
ได้อุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง." ฝ่ายคนรับจ้างฟังคำนั้น ได้กระทำตามนั้นแล้ว.
เมื่อเขาหิวโหยแล้ว เพราะทำงานตลอดทั้งวัน ลมกำเริบแล้วในสรีระ, เขา

(๑. ) คือ เนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย.

เอาเชือกผูกท้อง จับที่ปลายเชือกแล้วกลิ้งเกลือกอยู่. เศรษฐี สดับ
ประพฤติเหตุเช่นนั้น มีคนถือคบเพลิงให้คนถือเอาของมีรสหวาน ๔ ชนิด
มาสู่สำนักของชายนั้น ถามว่า " เป็นอย่างไร ? พ่อ."
ผู้รับจ้าง. นาย ลมกำเริบแก่ข้าพเจ้า.
เศรษฐี. ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงลุกขึ้น เคี้ยวกินเภสัชนี้.
ผู้รับจ้าง. นาย แม้ท่านทั้งหลายรับประทานแล้วหรือ ?
เศรษฐี. ความไม่สบาย ของพวกเราไม่มี: เจ้าเคี้ยวกินเถิด.
เขากล่าวว่า "นาย ข้าพเจ้า เมื่อทำอุโบสถกรรม ไม่ได้อาจเพื่อ
จะทำอุโบสถกรรมทั้งสิ้นได้, แม้ในอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่งของข้าพเจ้าอย่า
ได้เป็นของบกพร่องเลย" ดังนี้แล้ว ก็ไม่ปรารถนา ( เพื่อจะเคี้ยวกิน).
ชายนั้น แม้อันเศรษฐีกล่าวอยู่ว่า "อย่าทำอย่างนี้เลยพ่อ" ก็ไม่
ปรารถนาแล้ว, เมื่ออรุณขึ้นอยู่ ทำกาละแล้ว เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวแห้ง
ฉะนั้น เกิดเป็นเทวดาที่ต้นไทรนั้น. เพราะเหตุนั้น เทวดานั้น
ครั้นกล่าวเนื้อความนี้แล้ว จึงกล่าวว่า " เศรษฐีนั้นเป็นผู้นับถือพระ-
พุทธเจ้าว่าเป็นของเรา นับถือพระธรรมว่าเป็นของเรา นับถือพระสงฆ์
ว่าเป็นของเรา. สมบัตินั้นข้าพเจ้าได้แล้ว ด้วยผลอันไหลออกแห่ง
อุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าอาศัยเศรษฐีนั้นกระทำแล้ว."

ดาบสเลื่อมใสออกบวช
ดาบส ๕๐๐ พอฟังคำว่า " พระพุทธเจ้า" ก็ลุกขึ้นประคอง
อัญชลีต่อเทวดา กล่าวว่า " ท่านพูดว่า ' พระพุทธเจ้า" ดังนี้แล้ว
ให้เทวดานั้นปฏิญญา ๓ ครั้งว่า "ข้าพเจ้าพูดว่า 'พระพุทธเจ้า," แล้ว

เปล่งอุทานว่า " แม้เสียงกึกก้องนี้แล ก็หาได้ยากในโลก" แล้วกล่าวว่า
" ท่านเทวดา พวกเราเป็นผู้อันท่านให้ได้ฟังเสียง ที่ยังมิได้เคยฟังแล้ว
ในแสนกัลป์เป็นอเนก." ลำดับนั้น พวกดาบสที่เป็นอันเตวาสิก ได้
กล่าวคำนี้กะอาจารย์ว่า " ถ้าเช่นนั้น พวกเราจงพากันไปสู่สำนักของ
พระศาสดา." อาจารย์กล่าวว่า " พ่อทั้งหลาย เศรษฐี ๓ ท่านเป็น
ผู้มีอุปการะมากแก่พวกเรา, พรุ่งนี้พวกเรารับภิกษาในที่อยู่ของเศรษฐี
เหล่านั้น บอกแม้แก่เศรษฐีเหล่านั้นแล้ว จึงจักไป, พ่อทั้งหลาย
พวกพ่อ จงยับยั้งอยู่ก่อน." ดาบสเหล่านั้น ยับยั้งอยู่แล้ว, ในวันรุ่งขึ้น
พวกเศรษฐี เตรียมข้าวยาคูและภัตแล้ว ปูอาสนะไว้ รู้ว่า "วันนี้
เป็นวันมาแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย;" ทำการต้อนรับ ดาบส
เหล่านั้นไปสู่ที่อยู่ เชิญให้นั่ง ได้ถวายภิกษาแล้ว. ดาบสเหล่านั้น ทำ
ภัตกิจเสร็จแล้วกล่าวว่า " ท่านมหาเศรษฐีทั้งหลาย พวกเราจักไป."
เศรษฐี. ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายรับปฏิญญาของพวก
ข้าพเจ้า ตลอด ๔ เดือน ซึ่งมีในฤดูฝนแล้วมิใช่หรือ ? บัดนี้พวก
ท่านจักไปไหน ?
ดาบส. ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก, พระธรรมก็
เกิดขึ้นแล้ว, พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นแล้ว, เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจักไม่สู่
สำนักของพระศาสดา.
เศรษฐี. ก็การไปสู่สำนักของพระศาสดาองค์นั้น ควรแก่ท่าน
ทั้งหลายเท่านั้นหรือ ?
ดาบส. แม้คนเหล่าอื่นก็ควร ไม่ห้าม ผู้มีอายุ.
เศรษฐี. ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอท่านทั้งหลายจงรอก่อน

แม้พวกข้าพเจ้า ทำการตระเตรียมแล้ว ก็จะไป.
ดาบสเหล่านั้น กล่าวว่า "เมื่อท่านทั้งหลายทำการตระเตรียมอยู่,
ความเนิ่นช้าย่อมมีแก่พวกเรา, พวกเราจะไปก่อน, ท่านทั้งหลายพึงมา
ข้างหลัง" ดังนี้แล้ว ก็ไปก่อน, เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชมเชยแล้ว
ถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสอนุปุพพีกถา แสดงธรรมแก่ดาบส
เหล่านั้น. ในที่สุดแห่งเทศนา ดาบสทั้งปวงบรรลุพระอรหัตพร้อม
ทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว ทูลขอบรรพชา ได้เป็นผู้ทรงบาตรและจีวร
อันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ดุจพระเถระมีพรรษาตั้ง ๑๐๐ ในลำดับแห่งพระดำรัส
ว่า "ท่านทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด ."

สามเศรษฐีสร้างวิหาร
เศรษฐีทั้งสามแม้นั้นแล จัดเกวียนคนละ ๕๐๐ เล่ม บรรทุกเครื่อง
อุปกรณ์แก่ทาน มีผ้า เครื่องนุ่งห่ม เนยใส น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น
ไปถึงเมืองสาวัตถีแล้ว เข้าไปสู่พระเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดา สดับ
ธรรมกถาแล้ว ในที่สุดแห่งกถา ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ถวายทานอยู่
ในสำนักของพระศาสดาประมาณกึ่งเดือนแล้ว ทูลเชิญพระศาสดา เพื่อ
ประโยชน์เสด็จไปสู่เมืองโกสัมพี, เมื่อพระศาสดาจะประทานปฏิญญา จึง
ตรัสว่า "คฤหบดีทั้งหลาย พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมยินดียิ่งในเรือน
ว่างแล" จึงทูลว่า " ข้อนั้น พวกข้าพระองค์ทราบแล้ว พระเจ้าข้า
การที่พระองค์เสด็จมาด้วยสาสน์ที่พวกข้าพระองค์ส่งไป ย่อมควร"
ดังนี้แล้ว ไปสู่เมืองโกสัมพี ให้สร้างมหาวิหาร ๓ หลังคือ โฆสกเศรษฐี

ให้สร้างโฆสิตาราม, กุกกุฏเศรษฐี ให้สร้างกุกกุฏาราม, ปาวาริกเศรษฐี
ให้สร้างปาวาริการาม แล้วส่งสาสน์ไปเพื่อประโยชน์แก่อันเสด็จมาแห่ง
พระศาสดา.
พระศาสดาทรงสดับสาสน์ของเศรษฐีเหล่านั้น ก็ได้เสด็จไป
ในที่นั้นแล้ว. เศรษฐีเหล่านั้นต้อนรับ เชิญให้พระศาสดาเสด็จเข้าไปใน
วิหารแล้ว มอบถวาย ๓ ครั้งว่า "ข้าพระองค์ขอถวายวิหารนี้แก่ภิกษุ-
สงฆ์อันมาแต่ ๔ ทิศ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข" ดังนี้แล้วย่อม
ปฏิบัติตามวาระ ๆ(๑) . พระศาสดา ย่อมประทับอยู่ในวิหารหนึ่งๆ ทุก ๆ วัน,
ประทับอยู่ในวิหารของเศรษฐีคนใด, ก็ย่อมเสด็จเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต
ที่ประตูเรือนของเศรษฐีคนนั้นแล.

นายสุมนมาลาการเลี้ยงภิกษุสงฆ์
ก็เศรษฐีทั้งสามคนนั้น ได้มีนายช่างมาลาชื่อสุมนะ เป็นผู้อุปัฏฐาก.
นายสุมนมาลาการนั้น กล่าวกะเศรษฐีเหล่านั้น อย่างนี้ว่า "ข้าพเจ้า
เป็นผู้กระทำการอุปัฏฐากท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน, เป็นผู้ใคร่เพื่อ
จะยังพระศาสดาให้เสวย: ขอท่านทั้งหลาย จงให้พระศาสดาแก่ข้าพเจ้า
วันหนึ่ง."
เศรษฐีทั้งสามนั้นกล่าวว่า "นาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงนิมนต์
พระศาสดาเสวยในวันพรุ่งนี้เถิด." นายสุมนมาลาการนั้นรับคำว่า "ดีแล้ว
นาย " ดังนี้ จึงนิมนต์พระศาสดา ตระเตรียมเครื่องสักการะ. ในกาลนั้น
พระราชาพระราชทานกหาปณะ ๘ กหาปณะ ให้เป็นค่าดอกไม้แก่นาง
สามาวดีทุก ๆ วัน. ทาสีของนางสามาวดีนั้นชื่อนางขุชชุตตรา ไปสู่สำนัก

(๑. ) ผลัดเปลี่ยนกันปฏิบัติ.

ของนายสุมนมาลาการ รับดอกไม้ทั้งหลายเนืองนิตย์. ต่อมา นายมาลาการ
กล่าวกะนางขุชชุตตรานั้น ผู้มาในวันนั้น ว่า "ข้าพเจ้านิมนต์พระศาสดา
ไว้แล้ว, วันนี้ ข้าพเจ้าจักบูชาพระศาสดาด้วยดอกไม้อันเลิศ; นางจง
รออยู่ เป็นผู้ช่วยเหลือในการเลี้ยงพระฟังธรรม ( เสียก่อน) แล้วจึง
รับดอกไม้ไป." นางรับคำว่า "ได้."
นายสุมนะ เลี้ยงภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ได้
รับบาตรเพื่อประโยชน์แก่การการทำอนุโมทนา. พระศาสดาทรงเริ่ม
ธรรมเทศนาเป็นเครื่องอนุโมทนาแล้ว. ฝ่ายนางขุชชุตตรา สดับธรรมกถา
ของพระศาสดาอยู่เทียว ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. ในวันทั้งหลายอื่น
นางถือเอากหาปณะ ๔ ไว้สำหรับตน รับดอกไม้ไปด้วยกหาปณะ ๔. ใน
วันนั้น นางรับดอกไม้ไปด้วยกหาปณะทั้ง ๘ กหาปณะ.
ลำดับนั้น นางสามาวดี กล่าวกะนางขุชชุตตรานั้นว่า "แม่
พระราชาพระราชทานค่าดอกไม้แก่เราเพิ่มขึ้น ๒ เท่าหรือหนอ ?"
ขุชชุตตรา. หามิได้ พระแม่เจ้า.
สามาวดี. เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร ดอกไม้จึงมากเล่า ?
ขุชชุตตรา. ในวันทั้งหลายอื่น หม่อมฉันถือเอากหาปณะ ๔ ไว้
สำหรับตน นำดอกไม้มาด้วยกหาปณะ ๔.
สามาวดี. เพราะเหตุไร ในวันนี้ เจ้าจึงไม่ถือเอา ?
ขุชชุตตรา. เพราะความที่หม่อมฉันฟังธรรมกถาของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าแล้วบรรลุธรรม.
ลำดับนั้น นางสามาวดีมิได้คุกคามนางขุชชุตตรานั้นเลยว่า
"เหวย นางทาสีผู้ชั่วร้าย เจ้าจงให้กหาปณะที่เจ้าถือเอาแล้วตลอดกาล

มีประมาณเท่านี้ แก่เรา" กลับกล่าวว่า " แม่ เจ้าจงทำแม้เราทั้งหลาย
ให้ดื่มอมฤตรสที่เจ้าดื่มแล้ว," เมื่อนางกล่าวว่า " ถ้าอย่างนั้น ขอ
พระแม่เจ้าจงยังหม่อมฉันให้อาบน้ำ" จึงให้นางอาบน้ำ ด้วยหม้อ
น้ำหอม ๑๖ หม้อแล้ว รับสั่งให้ประทานผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยง ๒ ผืน. นาง
ขุชชุตตรานั้น นุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ให้ปูอาสนะแล้ว ให้นำพัดมา
อันหนึ่ง นั่งบนอาสนะ จับพัดอันวิจิตร เรียกมาตุคาม ๕๐๐ มาแล้ว
แสดงธรรมแก่หญิงเหล่านั้น โดยทำนองที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว
นั้นแล. หญิงแม้ทั้งปวงเหล่านั้น ฟังธรรมกถาของนางแล้ว ก็ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผล. หญิงแม้ทั้งปวงเหล่านั้นไหว้นางขุชชุตตราแล้ว กล่าวว่า
" แม่ จำเดิมแต่วันนี้ ท่านอย่าทำการงานอันเศร้าหมอง (งานไพร่),
ท่านจงตั้งอยู่ในฐานะแห่งมารดาและฐานะแห่งอาจารย์ของพวกข้าพเจ้า
ไปสู่สำนักพระศาสดา ฟังธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว จงกล่าวแก่
พวกข้าพเจ้า." นางขุชชุตตราการทำอยู่อย่างนั้น ในกาลอื่น ก็เป็นผู้ทรง
พระไตรปิฎกแล้ว.

นางขุชชุตตราเลิศในทางแสดงธรรม
ต่อมา พระศาสดาทรงตั้งนางขุชชุตตรานั้นไว้ในเอตทัคคะว่า "ภิกษุ
ทั้งหลาย นางขุชชุตตรานี้นั้น เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาอุบาสิกาสาวิกา
ของเรา ผู้เป็นธรรมกถิกา [แสดงธรรมกถา].(๑) หญิง ๕๐๐ แม้เหล่า
นั้นแล กล่าวกะนางขุชชุตตรานั้นอย่างนี้ว่า "แม่ พวกข้าพเจ้าใคร่เพื่อ
จะเฝ้าพระศาสดา, ขอท่านจงแสดงพระศาสดานั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย,

(๑. ) นัยหนึ่ง แปลว่า "ภิกษุทั้งหลาย บรรดาอุบาสิกาสาวิกา ของเรา ผู้กล่าวธรรมทั้งหลาย
นางขุชชุตตรานี้ เป็นผู้เลิศ."

พวกข้าพเจ้าจะบูชาพระศาสดานั้น ด้วยเครื่องสักการบูชา มีของหอม
และระเบียบดอกไม้เป็นต้น."
ขุชชุตตรา. แม่เจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าราชสกุล เป็นของหนัก,
ข้าพเจ้าไม่อาจเพื่อจะพาท่านทั้งหลายไปภายนอกได้.
พวกหญิง. แม่ ท่านอย่าให้พวกข้าพเจ้าฉิบหายเสียเลย, ขอท่าน
จงแสดงพระศาสดาแก่พวกข้าพเจ้าเถิด.
ขุชชุตตรา. ถ้าอย่างนั้น การดูแล เป็นการที่ท่านอาจ [ทำได้]
ด้วยช่องมีประมาณเท่าใด, จงเจาะช่องมีประมาณเท่านั้น ที่ฝาห้องเป็น
ที่อยู่ของพวกท่าน; ให้นำของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้นมาแล้ว
ยืนอยู่ในที่นั้น ๆ จงดูแล จงเหยียดหัตถ์ทั้งสองออกถวายบังคม และจง
บูชาพระศาสดา ผู้เสด็จไปสู่เรือนของเศรษฐีทั้งสาม.
หญิงเหล่านั้นกระทำอย่างนั้นแล้ว แลดูพระศาสดาผู้เสด็จไปและ
เสด็จมาอยู่ ถวายบังคม และบูชาแล้ว.

ประวัติหน้าต่าง
ต่อมาวันหนึ่ง พระนางมาคันทิยา เสด็จออกเดินจากพื้นปราสาท
ของตนไปสู่ที่อยู่ของหญิงเหล่านั้น เห็นช่องในห้องทั้งหลายแล้ว จึงถาม
ว่า " นี้อะไรกัน ?" เมื่อหญิงเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ความอาฆาตที่พระนางนั้น
ผูกไว้ในพระศาสดา จึงตอบว่า "พระศาสดาเสด็จมาสู่นครนี้, พวก
หม่อมฉันยืนอยู่ในที่นี้ ย่อมถวายบังคมและบูชาพระศาสดา" ดังนี้แล้ว
คิดว่า " พระสมณโคดม ชื่อว่ามาแล้วสู่นครนี้ บัดนี้เราจักกระทำ
กรรมที่ควรทำแก่พระสมณโคดมนั้น แม้หญิงเหล่านี้ ก็เป็นอุปัฏฐายิกา

ของพระสมณโคดมนั้น, เราจักรู้กรรมที่พึงทำแม้แก่หญิงเหล่านี้" จึง
ไปกราบทูลแด่พระราชา ว่า " ข้าแต่มหาราช หญิง ๕๐๐ รวมทั้ง
พระนางสามาวดี มีความปรารถนาในภายนอก, พระองค์จักไม่มีพระชนม์
โดย ๒-๓ วันเป็นแน่ ." พระราชาไม่ทรงเชื่อแล้วด้วยทรงพระดำริว่า
"หญิงเหล่านั้น จักไม่ทำกรรมเห็นปานนี้." แต่เมื่อพระนางมาคันทิยา
กราบทูลอีก ก็ไม่ทรงเชื่ออยู่นั่นเอง.
ลำดับนั้น พระนางมาคันทิยาจึงกราบทูลพระราชานั้น ผู้แม้
เมื่อตนกราบทูลอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ทรงเชื่อ ว่า " ถ้าพระองค์ไม่
ทรงเชื่อ (คำ) หม่อมฉันไซร้ ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงเสด็จ
ไปสู่ที่อยู่ของหญิงเหล่านั้นแล้ว ทรงใคร่ครวญเถิด." พระราชาเสด็จไป
ทอดพระเนตรเห็นช่องในห้องทั้งหลาย จึงตรัสถามว่า "นี่อะไรกัน ?"
เมื่อหญิงเหล่านั้นกราบทูลเนื้อความนั้นแล้ว, ไม่ทรงพิโรธต่อหญิง
เหล่านั้น มิได้ตรัสอะไร ๆ เลย, รับสั่งให้ปิดช่องทั้งหลายเสีย แล้วให้
ทำหน้าต่างมีช่องน้อยไว้ในห้องทั้งปวง. ได้ยินว่า หน้าต่างมีช่องน้อย
ทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วในกาลนั้น.

พระศาสดาผจญกับการแก้แค้น
พระนางมาคันทิยา ไม่อาจเพื่อจะทำอะไร ๆ แก่หญิงเหล่านั้นได้
ก็ดำริว่า " เราจักทำกรรมที่ควรทำแก่พระสมณโคดมให้ได้" จึงให้
ค่าจ้างแก่ชาวเมืองแล้วกล่าวว่า " พวกเจ้าพร้อมด้วยพวกผู้ชายที่เป็น
ทาสและกรรมกร จงด่า บริภาษ พระสมณโคดมผู้เข้าไปสู่ภายในพระนคร
เที่ยวอยู่ ให้หนีไป." พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในรัตนะ ๓ ก็ติดตาม

พระศาสดาผู้เสด็จไปสู่ภายในพระนคร ด่าอยู่ บริภาษอยู่ด้วยวัตถุสำหรับ
ด่า ๑๐ อย่างว่า
๑. "เจ้าเป็นโจร
๒. เจ้าเป็นพาล
๓. เจ้าเป็นบ้า
๔. เจ้าเป็นอูฐ
๕. เจ้าเป็นวัว
๖. เจ้าเป็นลา
๗. เจ้าเป็นสัตว์นรก
๘. เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
๙. สุคติของเจ้าไม่มี
๑๐.เจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว."
ท่านพระอานนท์ฟังคำนั้นแล้ว ได้กราบทูลคำนี้กะพระศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชาวเมืองเหล่านี้ ย่อมด่า ย่อมบริภาษพวกเรา,
พวกเราจะไปในที่อื่นจากที่นี้."
พระศาสดาตรัสถามว่า " เราจะไปที่ไหน อานนท์."
พระอานนท์กราบทูลว่า " ไปเมืองอื่น พระเจ้าข้า."
พระศาสดา. เมื่อพวกมนุษย์ในเมืองนั้นด่าอยู่, เราจักไปในที่ไหน
กันอีกเล่า ? อานนท์.
พระอานนท์. ไปสู่เมืองอื่น แม้จากเมืองนั้น พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เมื่อพวกมนุษย์ในเมืองนั้นด่าอยู่, เราจักไปในที่ไหน
กันเล่า ?




พระอานนท์. ไปเมืองอื่นจากเมืองนั้น พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. อานนท์ การทำอย่างนี้ไม่ควร; อธิกรณ์เกิดขึ้น
ในที่ใด, เมื่ออธิกรณ์นั้นสงบระงับแล้วในที่นั้นแล จึงควรไปในที่อื่น;
อานนท์ ก็พวกเหล่านั้น ใครเล่า ? ด่า.
พระอานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกเหล่านั้นทุกคนจน
กระทั่งพวกทาสและกรรมกร ด่า.
พระศาสดา ตรัสว่า " อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างตัวก้าวลงสู่
สงคราม, ก็การอดทนลูกศรอันมาจาก ๔ ทิศ ย่อมเป็นภาระของช้างซึ่ง
ก้าวลงสู่สงความฉันใด ชื่อว่าการอดทนต่อถ้อยคำอันคนทุศีลเป็นอันมาก
กล่าวแล้ว ก็เป็นภาระของเราฉันนั้นเหมือนกัน" ดังนี้แล้ว เมื่อทรง
ปรารภพระองค์แสดงธรรมภาษิตคาถา ๓ เหล่านี้ในนาควรรคว่า(๑)
"เราจักอดกลั้นถ้อยคำล่วงเกิน ดังช้างอดทน
ลูกศร ซึ่งตกไปจากแล่งในสงคราม, เพราะคนเป็น
อันมาก เป็นผู้ทุศีล, ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมนำ
พาหนะที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ประชุม, พระราชาย่อมเสด็จ
ขึ้นพาหนะที่ฝึกแล้ว; ในหมู่มนุษย์ผู้ใดอดกลั้นถ้อยคำ
ล่วงเกินได้, ผู้นั้นชื่อว่าฝึก (ตน) แล้ว เป็นผู้
ประเสริฐสุด. ม้าอัสดรที่ฝึกแล้วเป็นสัตว์ประเสริฐ,
ม้าอาชาไนย ม้าสินธพที่ฝึกแล้ว เป็นสัตว์ประเสริฐ,
พระยาช้างชาติกุญชรที่ฝึกแล้ว ก็เป็นสัตว์ประเสริฐ,
(แต่) ผู้ฝึกตนเองได้แล้ว ประเสริฐกว่านั้น."

(๑. ) ขุ. ธ. ๒๕/๗๕.

ธรรมกถาได้มีประโยชน์แก่มหาชนผู้ถึงพร้อมแล้ว, พระศาสดา
ครั้นทรงแสดงธรรมอย่างนั้นแล้ว ตรัสว่า " อานนท์ เธออย่าคิดแล้ว,
พวกเหล่านั้น จักด่าได้เพียง ๗ วันเท่านั้น ในวันที่ ๗ จักเป็นผู้นิ่ง;
เพราะว่า อธิกรณ์ซึ่งเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เกิน ๗ วัน
ไป."

พระนางมาคันทิยาหาความด้วยเรื่องไก่
พระนางมาคันทิยา ให้คนด่าพระศาสดาแล้ว (แต่) ไม่อาจให้
หนีไปได้ จึงคิดว่า " เราจักทำอย่างไรหนอ ?" ดังนี้แล้ว คิดว่า
" หญิงเหล่านี้ เป็นผู้อุปถัมภ์พระสมณโคดมนั้น, เราจักทำความฉิบหาย
ให้เเก่หญิงเหล่านั้น" วันหนึ่ง เมื่อทำการรับใช้อยู่ในที่เป็นที่เสวย
น้ำจัณฑ์แห่งพระราชา ส่งข่าวไปแก่อาว่า " โปรดทราบว่า ฉันมีความ
ต้องการด้วยไก่ทั้งหลาย, ขออาจงนำเอาไก่ตาย ๘ ตัว ไก่เป็น ๘ ตัวมา,
ก็แลครั้นมาแล้ว จงยืนอยู่ที่บันได บอกความที่ตนมาแล้ว แม้เมื่อ
รับสั่งว่า 'จงเข้ามา,' ก็อย่าเข้าไป จงส่งไก่เป็น ๘ ตัวไปก่อน ส่งไก่ตาย
นอกนี้ไปภายหลัง," และนางได้ประทานสินจ้างแก่คนใช้ด้วยสั่งว่า
"เจ้าพึงการทำตามคำของเรา."
นายมาคันทิยะมาแล้ว ให้ทูลแด่พระราชาให้ทรงทราบ, เธอรับสั่ง
ว่า "จงเข้ามา" ก็กล่าวว่า " เราจักไม่เข้าไปสู่ที่เป็นที่เสวยน้ำจัณฑ์ของ
พระราชา." ฝ่ายพระนางมาคันทิยา ส่งคนใช้ไปด้วยคำว่า "พ่อ จงไป
สู่สำนักแห่งอาของเรา." เขาไปแล้ว นำไก่เป็น ๘ ตัว ซึ่งนายมาคันทิยะ
นั้นให้แล้วมา กราบทูลว่า " ข้าแต่สมมติเทพ ท่านปุโรหิต ส่งเครื่อง

บรรณาการมาแล้ว." พระราชาตรัสว่า "ดีแท้ แกงอ่อมเกิดขึ้นแก่
พวกเราแล้ว, ใครหนอแล ? ควรแกง." พระนางมาคันทิยากราบทูล
ว่า " ข้าแต่มหาราช หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข เป็นผู้
ไม่มีการงานเที่ยวเตร่อยู่, ขอพระองค์จงส่งไปให้แก่หญิงเหล่านั้น;
หญิงเหล่านั้นแกงแล้วจักนำมา (ถวาย)." พระราชาทรงส่งไปด้วยพระ-
ดำรัสว่า " เจ้าจงไปให้แก่หญิงเหล่านั้น, ได้ยินว่า หญิงเหล่านั้น จง
อย่าให้ในมือคนอื่น จงฆ่าแกงเองทีเดียว." คนใช้รับพระดำรัสว่า "ดีละ
พระเจ้าข้า" แล้วไปบอกอย่างนั้น เป็นผู้อันหญิงเหล่านั้น คัดค้านแล้ว
ว่า " พวกฉันไม่ทำปาณาติบาต" จึงมาทูลความนั้นแด่พระราชา. พระ-
นางมาคันทิยา กราบทูลว่า " ข้าแต่มหาราช พระองค์เห็นไหม ? บัดนี้
พระองค์จักทรงทราบการทำหรือไม่ทำปาณาติบาตแห่งหญิงเหล่านั้น, ขอ
พระองค์จงรับสั่งว่า ' หญิงเหล่านั้นจงแกงส่งไปถวายแก่พระสมณโคดม'
ดังนี้เถิด พระเจ้าข้า."
พระราชาตรัสอย่างนั้นแล้วส่งไป. คนใช้นอกนี้ ถือทำเป็นเดิน
ไปอยู่ ไปแล้ว ให้ไก่เหล่านั้นแก่ปุโรหิต รับไก่ตายไปสู่สำนักของหญิง
เหล่านั้น กล่าวว่า " ได้ยินว่า พวกท่านแกงไก่เหล่านี้แล้ว จงส่งไปสู่
สำนักพระศาสดา." หญิงเหล่านั้นกล่าวรับรองว่า " นำมาเถิด นาย
ชื่อร่าการแกงไก่ตายนี้เป็นกิจของพวกเรา" ดังนี้แล้ว ก็รับไว้. คนใช้
นั้นมาสู่สำนักของพระราชา อันพระราชาตรัสถามว่า "เป็นอย่างไร ?
พ่อ" จึงกราบทูลว่า " เมื่อข้าพระองค์เพียงกล่าวว่า ' พวกท่าน จง
แกงส่งไปถวายพระสมณโคดม ' เท่านั้น, หญิงเหล่านั้น ก็สวนทางมา
รับเอาแล้ว." พระนางมาคันทิยา กราบทูลว่า " ข้าแต่มหาราช จงดูเถิด,

หญิงเหล่านั้น หาทำให้แก่บุคคลเช่นพระองค์ไม่; เมื่อหม่อมฉันทูลว่า
' หญิงเหล่านั้นมีความปรารถนาในภายนอก,' พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อ."
พระราชาแม้ทรงสดับคำนั้น ก็ได้ทรงอดกลั้นนิ่งไว้เช่นเดิม. พระนาง
มาคันทิยาคิดว่า " เราจะทำอย่างไรหนอแล ?"

พระนางมาคันทิยาหาความด้วยเรื่องงู
ก็ในกาลนั้น พระราชา ย่อมทรงยับยั้งอยู่ตลอด ๗ วัน ตามวาระ
กัน ณ พื้นปราสาทแห่งหญิงทั้งสามนั้น คือ พระนางสามาวดี พระนาง
วาสุลทัตตาและพระนางมาคันทิยา. ลำดับนั้น พระนางมาคันทิยารู้ว่า
" พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ พระราชาจักเสด็จไปสู่พื้นปราสาทของพระนาง
สามาวดี" จึงส่งข่าวไปแก่อาว่า " โปรดทราบว่า ฉันมีความต้องการ
ด้วยงู, ขออาจงถอนเขี้ยวงูทั้งหลายแล้วส่งงูไปตัวหนึ่ง." นายมาคันทิยะ
กระทำอย่างนั้นแล้ว ส่งไป. พระราชาทรงถือเอาพิณหัสดีกันต์เที่ยว
เสด็จไปสู่ที่เป็นที่เสด็จไปของพระองค์. ในรางพิณนั้นมีช่อง ๆ หนึ่ง.
พระนางมาคันทิยา ปล่อยงูเข้าไปทางช่องนั้น แล้วปิดช่องเสียงด้วยกลุ่ม
ดอกไม้. งูได้อยู่ในภายในพิณนั้นเองตลอด ๒-๓ วัน. ในวันเสด็จไป
แห่งพระราชา พระนางมาคันทิยา ทูลถามว่า "ข้าแต่สมมติเทพ วันนี้
พระองค์จักเสด็จไปสู่ปราสาทของมเหสีคนไหน ?" เมื่อตรัสตอบว่า
" ของนางสามาวดี,. จึงกราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราช วันนี้ หม่อมฉัน
เห็นสุบินไม่เป็นที่พอใจ, ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ไม่อาจเสด็จไปใน
ที่นั้นได้ พระเจ้าข้า. " พระราชา ตรัสว่า " เราจักไปให้ได้." พระนาง
ห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง แล้วทูลว่า "เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้หม่อนฉันจักไปกับ

พระองค์ด้วย," แม้พระราชาให้กลับอยู่ก็ไม่กลับ กราบทูลว่า "หม่อม
ฉันไม่ทราบว่า ' จักมีเหตุอะไร ? พระเจ้าข้า" ดังนั้นแล้ว ก็ได้ไปกับ
พระราชาจนได้. พระราชาทรงผ้า ดอกไม้ ของหอม และเครื่อง
อาภรณ์ ซึ่งหมู่หญิงรวมด้วยพระนางสามาวดีถวาย เสวยโภชนะอันดี
วางพิณไว้เบื้องบนพระเศียร แล้วบรรทมบนที่บรรทม. พระนาง
มาคันทิยาทำเป็นเดินไปมา ได้นำกลุ่มดอกไม้ออกจากช่องพิณ. งู
อดอาหารถึง ๒-๓ วัน เลื้อยออกมาจากช่องนั้นพ่น (พิษ) แผ่พังพาน
นอนบนแท่นที่บรรทมแล้ว. พระนางมาคันทิยาเห็นงูนั้น ก็ร้องแหว
ขึ้นว่า " งู พระเจ้าข้า" เมื่อจะด่าพระราชาและหญิงเหล่านั้น จึง
กล่าวว่า " พระเจ้าแผ่นดินโง่องค์นี้ไม่มีวาสนา ไม่ฟังคำพูดของเรา
แม้อีหญิงเหล่านี้ก็เป็นคนไม่มีสิริหัวดื้อ, พวกมันไม่ได้อะไรจากสำนัก
ของพระเจ้าแผ่นดินหรือ ? พวกเจ้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้
พอสวรรคตแล้ว จักเป็นอยู่สบายหรือหนอ ? เมื่อพระเจ้าแผ่นดินยัง
ทรงพระชนม์อยู่ พวกเจ้าเป็นอยู่ลำบากหรือ ? วันนี้เราเห็นการฝันร้าย
แล้ว, พระองค์เอ๋ย พระองค์ไม่ทรงฟังเสียงของหม่อมฉันแม้ผู้วิงวอน
อยู่ว่า ไม่ควรเสด็จไปปราสาทของพระนางสามาวดี."

พระเจ้าอุเทนลงโทษพระนางสามาวดี
พระราชาทอดพระเนตรเห็นงู ก็ทรงสะดุ้งพระหฤทัยกลัวแต่มรณะ
ได้เป็นประดุจลุกโพลงด้วยความพิโรธว่า " หญิงเหล่านี้มาทำกรรม
แม้เห็นปานนี้, ชิ ชิ เราก็ชั่วช้า ไม่เชื่อคำของนางมาคันทิยานี้ แม้

ผู้บอกความที่หญิงเหล่านี้เป็นคนลามก, ครั้งก่อนมันเจาะช่องไว้ในห้อง
ทั้งหลายของตนนั่งอยู่แล้ว. เมื่อเราส่งไก่ไปให้ก็ส่งคืนมาอีก, วันนี้ปล่อยงู
ไว้บนที่นอน."
ฝ่ายพระนางสามาวดี ก็ได้ให้โอวาทแก่หญิง ๕๐๐ ว่า " แม่
ทั้งหลาย ที่พึ่งอื่นของพวกเราหามีไม่, ท่านทั้งหลายจงยังเมตตาจิตอัน
สม่ำเสมอนั่นแล ให้เป็นไปในพระราชาผู้เป็นจอมแห่งนรชน ในพระเทวี
และในตน, ท่านทั้งหลายอย่าทำความโกรธต่อใคร ๆ." พระราชา
ทรงถือธนูมีสัณฐานดังงาช้าง (หรือเขาสัตว์ ) ซึ่งมีกำลัง (แห่งการ
โก่ง) ของคนพันหนึ่ง ทรงขึ้นสายแล้วพาดลูกศรอันกำซาบด้วยยาพิษ
ทำพระนางสามาวดีไว้ ณ เบื้องหน้า ให้หญิงเหล่านั้นทุกคน ยืนตาม
ลำดับกันแล้ว จึงปล่อยลูกศรไปที่พระอุระของพระนางสามาวดี. ลูกศร
นั้น หวนกลับบ่ายหน้าสู่ทางที่ตนมาเที่ยว ประดุจจะเข้าไปสู่พระหทัย
ของพระราชา ได้ตั้งอยู่แล้วด้วยเมตตานุภาพ ของพระนางสามาวดีนั้น.
พระราชาทรงพระดำริว่า " ลูกศรที่เรายิงไป ย่อมแทงทะลุไปได้แม้ซึ่ง
ศิลา, แม้ฐานะที่จะกระทบในอากาศก็ไม่มี, ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกศรนี้กลับ
มุ่งหน้ามาสู่หัวใจของเรา (ทำไม?); แท้จริง แม้ลูกศรนี้ ไม่มีจิต ไม่ใช่
สัตว์ ไม่ใช่ของมีชีวิต ยังรู้จักคุณของนางสามาวดี, ตัวเรา แม้เป็น
มนุษย์ก็หารู้ (คุณ) ไม่."

พระเจ้าอุเทนประทานพรแก่พระนางสามาวดี
ท้าวเธอทิ้งธนูเสีย ทรงประคองอัญชลี นั่งกระหย่งแทบบาทมูล
ของพระนางสามาวดี ตรัสพระคาถานี้ว่า

"เราฟั่นเฟือน เลือนหลง, ทิศทั้งปวงย่อม
มืดตื้อแก่เรา, สามาวดีเอ๋ย เจ้าจงต้านทานเรา
ไว้, และเจ้าจงเป็นที่พึ่งของเรา."
พระนางสามาวดีสดับพระดำรัสของท้าวเธอแล้ว ก็มิได้กราบทูลว่า
" ดีแล้ว สมมติเทพ พระองค์จงถึงหย่อมฉันเป็นที่พึ่งเถิด," (แต่)
กราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันถึงผู้ใดว่าเป็นที่พึ่ง แม้พระองค์
ก็จงถึงผู้นั้นแล ว่าเป็นที่พึ่งเถิด."
พระนางสามาวดี ผู้เป็นสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้น
กล่าวคำนี้แล้ว ก็กล่าวว่า
" พระองค์ อย่าทรงถึงหม่อมฉันเป็นที่พึ่งเลย,
หม่อมฉันถึงผู้ใดว่าเป็นที่พึ่ง, ข้าแต่มหาราช
ผู้นั้นคือพระพุทธเจ้า, พระพุทธเจ้านั่นเป็นผู้
เยี่ยมยอด, ขอพระองค์ทรงถึงพระพุทธเจ้า
พระองค์นั้นเป็นที่พึ่งด้วย, ทรงเป็นที่พึ่งของ
หม่อมฉันด้วย."
พระราชา ทรงสดับคำของพระนางสามาวดีนั้นแล้ว จึงตรัส
" บัดนี้ เรายิ่งกลัวมากขึ้น" แล้วตรัสคาถานี้ว่า
"เรานี้เลือนหลงยิ่งขึ้น, ทิศทั้งปวงย่อมมืดตื้อ
แก่เรา, สามาวดีเอ๋ย เจ้าจงต้านทานเราไว้
และเจ้าจงเป็นที่พึ่งของเรา."
ลำดับนั้น พระนางสามาวดีนั้น ก็ทูลถามท้าวเธออีก โดยนัยก่อน

นั้นแล, เมื่อท้าวเธอตรัสว่า " ถ้าเช่นนั้น เราขอถึงเจ้าและพระศาสดา
ว่าเป็นที่พึ่ง และเราจะให้พรแก่เจ้า" ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า " ข้า
แต่มหาราช พรจงเป็นสิ่งอันหม่อมฉันได้รับเถิด." ท้าวเธอเสด็จเข้าไป
เฝ้าพระศาสดา ทรงถึง (พระองค์) เป็นสรณะแล้ว ทรงนิมนต์
ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์สิ้น ๗ วันแล้ว ทรงเรียกพระนางสามาวดีมา
ตรัสว่า "เจ้าจงลุกขึ้นรับพร." พระนางสามาวดีกราบทูลว่า "ข้าแต่
มหาราช หม่อมฉันไม่มีความต้องการด้วยสิ่งทั้งหลายมีเงินเป็นต้น, แต่
ขอพระองค์จงพระราชทานพรนี้แก่หม่อมฉัน : (คือ) พระศาสดาพร้อม
ทั้งภิกษุ ๕๐๐ รูป จะเสด็จมา ณ ที่นี้เนืองนิตย์ได้โดยประการใด, ขอ
พระองค์ทรงกระทำโดยประการนั้นเถิด, หม่อมฉันจักฟังธรรม." พระ-
ราชาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
พระองค์จงเสด็จมาในที่นี้เนืองนิตย์พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป, เหล่าหญิง
ซึ่งธรรมทั้งพระนางสามาวดีเข้าด้วย กล่าวว่า ' หม่อมฉันจักฟังธรรม."
พระศาสดา. มหาบพิตร ธรรมดาการไปในที่เดียวเนืองนิตย์ย่อม
ไม่ควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เพราะมหาชนหวังเฉพาะ (พระพุทธ-
เจ้า ) อยู่.
พระราชา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์ทรง
สั่งภิกษุไว้รูปหนึ่งเถิด.
พระศาสดาทรงสั่งพระอานนทเถระแล้ว. จำเดิมแต่นั้น พระ-
อานนทเถระนั้นก็พาภิกษุ ๕๐๐ รูปไปสู่ราชสกุลเนืองนิตย์; พระเทวีแม้
เหล่านั้น เลี้ยงพระเถระพร้อมทั้งบริวาร ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์.

พระราชาทรงถวายจีวรแก่พระอานนท์
วันหนึ่ง หญิงเหล่านั้น ฟังธรรมกถาของพระเถระแล้ว เลื่อมใส
ได้กระทำการบูชาธรรมด้วยผ้าอุตราสงค์ ๕๐๐ ผืน. อุตราสงค์ผืน
หนึ่ง ๆ ย่อมมีค่าถึง ๕๐๐. พระราชาไม่ทรงเห็นผ้าสักผืนหนึ่งของหญิง
เหล่านั้น จึงตรัสถามว่า " ผ้าอุตราสงค์อยู่ที่ไหน ?"
พวกหญิง. พวกหม่อมฉันถวายแล้วแด่พระผู้เป็นเจ้า.
พระราชา. พระผู้เป็นเจ้านั้น รับทั้งหมดหรือ ?
พวกหญิง. เพคะ รับ (ทั้งหมด).
พระราชาเสด็จเข้าไปหาพระเถระแล้ว ตรัสถามความที่หญิงเหล่านั้น
ถวายผ้าอุตราสงค์ ทรงสดับความที่ผ้าอันหญิงเหล่านั้นถวายแล้ว และ
ความที่พระเถระรับไว้แล้ว จึงตรัสถามว่า "ท่านผู้เจริญ ผ้าทั้งหลาย
มากเกินไปมิใช่หรือ ? ท่านจักทำอะไรด้วยผ้ามีประมาณเท่านี้ ?"
พระเถระ. มหาบพิตร อาตมภาพรับผ้าไว้พอแก่อาตมภาพแล้ว จัก
ถวายผ้าที่เหลือแก่ภิกษุทั้งหลายผู้มีจีวรเก่า.
พระราชา. ภิกษุทั้งหลาย จักทำจีวรเก่าของตนให้เป็นอะไร ?
พระเถระ. เธอจักให้แก่ภิกษุผู้มีจีวรเก่ากว่าทั้งหลาย.
พระราชา. ภิกษุเหล่านั้นจักทำจีวรเก่าของตนให้เป็นอะไร ?
พระเถระ. เธอจักทำให้เป็นผ้าปูนอน.
พระราชา. เธอจักทำผ้าปูนอนเก่าให้เป็นอะไร ?
พระเถระ. เธอจักทำให้เป็นผ้าปูพื้น.
พระราชา. เธอจักทำผ้าปูพื้นเก่าให้เป็นอะไร ?
พระเถระ. ขอถวายพระพร เธอจักทำให้เป็นผ้าเช็ดเท้า.



พระราชา. เธอจักทำผ้าเช็ดเท้าเก่าให้เป็นอะไร ?
พระเถระ. เธอจักโขลกให้ละเอียดแล้ว(๑) ผสมด้วยดินเหนียวฉาบฝา.
พระราชา. ท่านผู้เจริญ ผ้าทั้งหลายที่ถวายแด่พวกพระผู้เป็นเจ้า
จักไม่เสียหาย แม้เพราะทำกรรมมีประมาณเท่านั้นหรือ ?
พระเถระ. อย่างนั้น มหาบพิตร.
พระราชาทรงเลื่อมใสแล้ว รับสั่งให้นำผ้า ๕๐๐ อื่นอีกมากให้ตั้ง
ไว้แทบบาทมูลของพระเถระแล้ว.
ได้ยินว่า พระเถระได้ผ้ามีค่าถึง ๕๐๐ ซึ่งพระราชาทรงวางไว้
แทบบาทมูลถวายโดยส่วน ๕๐๐ ถึง ๕๐๐ ครั้ง, ได้ผ้ามีค่าถึงพันหนึ่ง
ซึ่งพระราชาทรงวางไว้แทบบาทมูลถวายโดยส่วนพันหนึ่ง ถึงพันครั้ง,
ได้ผ้ามีค่าถึงแสนหนึ่ง ซึ่งพระราชาทรงวางไว้แทบบาทมูลถวายโดยส่วน
แสนหนึ่ง ถึงแสนครั้ง. ก็ชื่อว่าการนับผ้าที่พระเถระได้แล้วโดยนัย
เป็นต้นว่า ๑-๒-๓-๔-๕-๑๐ ดังนี้ ย่อมไม่มี: ได้ยินว่า เมื่อพระ-
ตถาคตปรนิพพานแล้ว, พระเถระเที่ยวไปทั่วชมพูทวีป ได้ถวายบาตร
และจีวรทั้งหลาย ซึ่งเป็นของ ๆ ตนนั่นแล แก่ภิกษุทั้งหลายในวิหาร
ทั้งปวงแล้ว.

พระนางสามาวดีถูกไฟคลอก
พระนางมาคันทิยาคิดว่า "เราทำสิ่งใด, สิ่งนั้นมิได้เป็นอย่าง
นั้น กลับเป็นอย่างอื่นไป; เราจักทำอย่างไรหนอแล ?" ดังนี้แล้วคิดว่า
" อุบายนี้ ใช้ได้" เมื่อพระราชาเสด็จไปสู่ที่ทรงกีฬาในพระราชอุทยาน

(๑. ) ขณฺฑาขณฺฑิกํ แปลว่า ให้เป็นท่อนและหาท่อนมิได้.

จึงส่งข่าวไปแก่อาว่า "ขออาจงไปปราสาทของนางสามาวดี ให้เปิด
เรือนคลังผ้าและเรือนคลังน้ำมันแล้ว ชุบผ้าในตุ่มน้ำมันแล้วพันเสา ทำ
หญิงทั้งหมดเหล่านั้นไว้โดยความเป็นอันเดียวกัน ปิดประตู ลั่นยนต์ใน
ภายนอก เอาคบไฟมีด้ามจุดไฟตำหนัก ลงแล้วจงไปเสีย." นายมาคัน-
ทิยะนั้นขึ้นสู่ปราสาท ให้เปิดเรือนคลังทั้งหลาย ชุบผ้าในตุ่มน้ำมันแล้ว
เริ่มพันเสา.
ลำดับนั้น หญิงทั้งหลายมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข กล่าวกะ
นายมาคันทิยะอยู่ว่า "นี่อะไรกัน ? อา" เข้าไปหาแล้ว. นายมาคันทิยะ
กล่าวอย่างนี้ว่า " แม่ทั้งหลาย พระราชารับสั่งให้พันเสาเหล่านี้ด้วยผ้า
ชุบน้ำมัน เพื่อประโยชน์แก่การทำให้มั่นคง ธรรมดาในพระราชวัง
กรรมที่ประกอบดีและชั่ว เป็นของรู้ได้ยาก, อย่าอยู่ในที่ใกล้เราเลย แม่
ทั้งหลาย" ดังนี้แล้ว ให้หญิงเหล่านั้นผู้มาแล้วเข้าไปในห้อง ปิดประตู
แล้ว ลั่นยนต์ในภายนอก จุดไฟ จำเดิมแต่ต้น ลงมาแล้ว.
พระนางสามาวดีได้ให้โอวาทแก่หญิงเหล่านั้นว่า " การกำหนด
อัตภาพ ซึ่งถูกไฟเผาอย่างนี้ของพวกเราผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร อันมี
ส่วนสุดไม่ปรากฏแล้ว แม้พุทธญาณก็ไม่ทำได้โดยง่าย, ท่านทั้งหลาย
จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด." หญิงเหล่านั้นเมื่อตำหนักถูกไฟไหม้อยู่, มนสิการ
ซึ่งเวทนาปริคคหกัมมัฏฐาน(๑) , บางพวกบรรลุผลที่ ๒, บางพวกบรรลุผล
ที่ ๓.
เพราะฉะนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงกล่าวว่า "ครั้งนั้นแล(๒ )
ภิกษุเป็นอันมาก กลับจากบิณฑบาตในภายหลังแห่งภัต (หลังจาก

๑. กัมมัฏฐาน มีอันกำหนดเวทนาเป็นอารมณ์.

(๒. ) ขุ. อุ. ๒๕/ ข้อ ๑๕๗ อุเทนสูตร.

ฉันข้าว), พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่โดยที่ใด เข้าไปเฝ้าโดยที่นั้น;
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งแล้ว ณ ส่วนข้าง
หนึ่ง; ภิกษุเหล่านั้น ผู้นั่งแล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่งแล ได้กราบทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส
ภายในบุรีของพระเจ้าอุเทน ผู้เสด็จไปสู่พระราชอุทยานถูกไฟไหม้แล้ว,
หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประมุขทำกาละแล้ว, ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ คติของอุบาสิกาเหล่านั้นเป็นอย่างไร ? สัมปรายภพเฉพาะหน้า
เป็นอย่างไร ?" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ในอุบาสิกา
เหล่านี้ อุบาสิกาที่เป็นโสดาบันก็มี, เป็นสกทาคามีก็มี, เป็นอนาคา-
มีก็มี, อุบาสิกาทั้งหมดนั้นไม่เป็นผู้ไร้ผลทำกาละดอก ภิกษุทั้งหลาย."
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
ทรงเปล่งพระอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
"โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏ
ดุจรูปอันสมควร, คนพาลมีอุปธิกิเลสเป็นเครื่อง
ผูกไว้ ถูกความมืดแวดล้อมแล้ว จึงปรากฏดุจมี
ความเที่ยง, ความกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้เห็นอยู่.(๑)"
ก็แลครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมว่า " ภิกษุทั้งหลาย
ธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย เที่ยวไปในวัฏฏะ เป็นผู้ไม่ประมาทตลอดกาลเป็น
นิตย์กระทำบุญกรรมก็มี, เป็นผู้มีความประมาทกระทำบาปกรรมก็มี, เหตุ
นั้น สัตว์ผู้เที่ยวไปในวัฏฏะ จึงเสวยสุขบ้างทุกข์บ้าง."

(๑.) ขุ. อุ. ๒๕/ ข้อ ๑๕๗.

พระเจ้าอุเทนลงโทษพระนางมาคันทิยากับพวก
พระราชา ทรงสดับว่า " ข่าวว่า ตำหนักของพระนางสามาวดี
ถูกไฟไหม้," แม้เสด็จมาโดยเร็ว ก็ไม่ได้อาจเพื่อจะทันถึงตำหนักอันไฟ
ยังไม่ไหม้ได้, ก็แลครั้นเสด็จมาแล้ว ทรงยังตำหนักให้ดับแล้ว ทรงเกิด
โทมนัสมีกำลัง แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ ประทับนั่งอนุสรณ์ถึงพระคุณ
ของพระนางสามาวดี ทรงพระดำริว่า "นี้เป็นการกระทำของใครหนอ ?"
ดังนี้แล้ว ทรงทราบว่า " กรรมนี้ จักเป็นกรรมอันนางมาคันทิยาให้
ทำแล้ว," ทรงพระดำริว่า " นางมาคันทิยานั้น อันเราทำให้หวาดกลัว
แล้วถาม ก็จักไม่บอก, เราจักค่อย ๆ ถามโดยอุบาย." จึงตรัสกะ
อำมาตย์ทั้งหลายว่า " ผู้เจริญทั้งหลาย ในกาลก่อนแต่กาลนี้ เราลุกขึ้น
เสร็จสรรพแล้ว ก็เป็นผู้ระแวงสงสัยอยู่รอบข้างทีเดียว, นางสามาวดี
แสวงหาแต่โทษเราเป็นนิตย์, นางก็ตายไปแล้ว; ก็บัดนี้ เราจักเย็นใจ
ได้ละ, เราจักได้อยู่โดยความสุข." พวกอำมาตย์ทูลว่า "ข้าแต่สมมติ-
เทพ กรรมนี้อันใครหนอแลทำแล้ว ?" พระราชาตรัสตอบว่า " จัก
เป็นกรรม อันใคร ๆ ทำแล้วด้วยความรักในเรา." พระนางมาคันทิยา
ทรงยืนเฝ้าอยู่ในที่ใกล้ ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกราบทูลว่า "ใคร ๆ
คนอื่นจักไม่อาจทำได้, พระเจ้าข้า กรรมนี้อันหม่อมฉันทำแล้ว, หม่อมฉัน
สั่งอาให้ทำ." พระราชาตรัสว่า " ชื่อว่าสัตว์ผู้มีความรักในเราอื่น ยกไว้
เสียแต่เจ้า ย่อมไม่มี, เราพอใจ, พระเทวี เราจะให้พรแก่เจ้า, เจ้าจง
ให้เรียกหมู่ญาติของตนมา." นางส่งข่าวไปแก่พวกญาติว่า "พระราชา
ทรงพอพระหฤทัย จะพระราชทานพรแก่เรา, จงมาเร็ว ."
พระราชารับสั่งให้ทำสักการะใหญ่ แก่ญาติทั้งหลายของพระนาง

มาคันทิยา ซึ่งมาแล้ว ๆ แม้พวกคนผู้มิใช่ญาติของพระนางมาคันทิยา
เห็นสักการะนั้นแล้ว ก็ให้สินจ้าง กล่าวว่า " พวกเราเป็นญาติของ
พระนางมาคันทิยา" พากันมาแล้ว. พระราชารับสั่งให้จับคนเหล่านั้น
ทั้งหมดไว้ แล้วให้ขุดหลุมทั้งหลายประมาณแค่สะดือ ที่พระลานหลวง
แล้ว ให้คนเหล่านั้นนั่งลงในหลุมเหล่านั้นเอาดินร่วนกลบ ให้เกลี่ยฟาง
ไว้เบื้องบน แล้วจุดไฟ, ในเวลาที่หนังถูกไฟไหม้แล้ว, รับสั่งให้ไถ
ด้วยไถเหล็กทั้งหลาย ให้ทำให้เป็นท่อนและหาท่อนมิได้ (หรือ) เป็น
ชิ้นและหาชิ้นมิได้. พระราชารับสั่งให้เชือดเนื้อ แม้จากสรีระของพระ-
นางมาคันทิยา ตรงที่มีเนื้อล่ำ ๆ ด้วยมีดอันคมกริบแล้ว ให้ยกขึ้นสู่
เตาไฟอันเดือดด้วยน้ำมัน ให้ทอดดุจขนมแล้ว ให้เคี้ยวกินเนื้อนั้นแล.

ความตายของพระนางสามาวดีควรแก่กรรมในปางก่อน
ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า(๑ ) " ความ
ตายเช่นนี้ ของอุบาสิกาผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ ไม่สมควรเลย
หนอ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย."
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย
นั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ?" เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูลว่า "ด้วย
เรื่องชื่อนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ความตายนั่นของหญิง
ทั้งหลาย มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ไม่ควรแล้วในอัตภาพนี้ แต่ว่า
ความตายอันหญิงเหล่านั้นได้แล้ว สมควรแท้แก่กรรมซึ่งเขาทำไว้ใน
กาลก่อน," อันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาว่า " กรรมอะไร อันหญิง

(๑. ) ยังกถาให้ตั้งขึ้นในโรงธรรม.

เหล่านั้นทำไว้ในกาลก่อน พระเจ้าข้า ? ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่
ข้าพระองค์ทั้งหลาย" ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมา (เล่าว่า)

บุรพกรรมของพระนางสามาวดีกับบริวาร
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในกรุง
พาราณสี พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ ฉันอยู่ในพระราชวังเนืองนิตย์.
หญิง ๕๐๐ คน ย่อมบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น. ในท่านเหล่านั้น
พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์ไปสู่หิมวันตประเทศ อีกองค์หนึ่ง นั่งเข้า
ฌานอยู่ในที่รกด้วยหญ้าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ. ต่อมาวันหนึ่ง เมื่อพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไปแล้ว, พระราชาทรงพาหญิงเหล่านั้นไป เพื่อ
ทรงเล่นน้ำในแม่น้ำ. ณ สถานที่นั้น หญิงเหล่านั้นเล่นน้ำตลอดส่วน
แห่งวัน ขึ้นแล้ว ถูกความหนาวบีบคั้นเทียวใคร่จะผิงไฟ กล่าวกันว่า
"ท่านทั้งหลาย พึงหาดูที่ก่อไฟของพวกเรา," เที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่
เห็นที่รกด้วยหญ้า (ชัฏหญ้า ) นั้น จึงยืนล้อมก่อไฟแล้ว ด้วยสำคัญว่า
" กองหญ้า" เมื่อหญ้าทั้งหลายไหม้แล้วก็ยุบลง, หญิงเหล่านั้นแลเห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงกล่าวกันว่า " พวกเรา ฉิบหายแล้ว ! พวกเรา
ฉิบหายแล้ว ! พระปัจเจกพุทธเจ้าของพระราชาถูกไฟคลอก, พระราชา
ทรงทราบจักทำพวกเราให้ฉิบหาย, เราจักทำท่านให้ไหม้ทั้งหมด," ทุกคน
นำฟืนมาจากที่โน้นที่นี้ ทำให้เป็นกองในเบื้องบนแห่งพระปัจเจกพุทธ-
เจ้านั้น กองฟืนใหญ่ได้มีแล้ว. ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นสุมฟืนนั้น
แล้วหลีกไป ด้วยสำคัญว่า "บัดนี้ จักไหม้ละ." ครั้งก่อน พวกเขา
เป็นผู้ไม่มีความจงใจ ก็ถูกกรรมติดตามแล้วในบัดนี้. ก็คนทั้งหลายแม้

นำฟืน ๑,๐๐๐ เล่มเกวียนมาสุมอยู่ ก็ไม่อาจเพื่อจะทำพระปัจเจกพุทธเจ้า
ภายในสมาบัติ แม้ให้มีอาการสักว่าอุ่นได้. เพราะฉะนั้น พระปัจเจก-
พุทธเจ้านั้น ในวันที่ ๗ จึงได้ลุกขึ้นไปตามสบายแล้ว. หญิงเหล่านั้น
ไหม้ในนรกสิ้นหลายพันปี เพราะความที่กรรมนั้นอันทำไว้แล้ว ไหม้แล้ว
ในเรือนที่ถูกไฟไหม้อยู่ โดยทำนองนี้แล สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ ด้วยวิบาก
อันเหลือลงแห่งกรรมนั้นแล. นี้เป็นบุรพกรรมของหญิงเหล่านั้น ด้วย
ประการฉะนี้.

บุรพกรรมของนางขุชชุตตรา
เมื่อพระศาสดาตรัสอย่างนั้นแล้ว ภิกษุทั้งหลาย จึงทูลถามพระ-
ศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นางขุชชุตตราเล่า เพราะกรรม
อะไร ? จึงเป็นหญิงค่อม, เพราะกรรมอะไร ? จึงเป็นผู้มีปัญญามาก,
เพราะกรรมอะไร ? จึงบรรลุโสดาปัตติผล, เพราะกรรมอะไร จึงเป็น
คนรับใช้ของคนเหล่าอื่น." พระศาสดา ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ใน
กาลที่พระราชาองค์นั้นแล ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระปัจเจก-
พุทธเจ้าองค์นั้นเหมือนกัน ได้เป็นผู้มีธาตุแห่งคนค่อมหน่อยหนึ่ง. ลำดับ
นั้น หญิงผู้อุปัฏฐายิกาคนหนึ่งห่มผ้ากัมพลถือขันทองคำทำเป็นคนค่อม
พุทธเจ้าของพวกเราย่อมเที่ยวไปอย่างนี้และอย่างนี้." เพราะผลอันไหล
ออกแห่งกรรมนั้นนางจึงเป็นหญิงค่อม.
อนึ่ง ในวันแรก พระราชาทรงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า
เหล่านั้น ให้นั่งในพระราชมณเฑียรแล้วให้ราชบุรุษรับบาตร บรรจุบาตร

ให้เต็มด้วยข้าวปายาสแล้วรับสั่งให้ถวาย. พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
ถือบาตรอันเต็มด้วยข้าวปายาสร้อน ต้องผลัดเปลี่ยน (มือ) บ่อย ๆ.
หญิงนั้น เห็นท่านทำอยู่อย่างนั้น ก็ถวายวลัยงา ๘ วลัย ซึ่งเป็น
ของของตน กล่าวว่า " ท่านจงวางไว้บนวลัยนี้แล้วถือเอา." พระปัจเจก-
พุทธเจ้าเหล่านั้น ทำอย่างนั้นแล้ว. แลดูหญิงนั้น. นางทราบความ
ประสงค์ของท่านทั้งหลาย จึงกล่าวว่า " ท่านเจ้าข้า ดิฉันหามีความต้อง
การวลัยเหล่านี้ไม่, ดิฉันบริจาควลัยเหล่านั้นแล้วแก่ท่านทั้งหลายนั่นแล,
ขอท่านจงรับไป." พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นรับแล้วได้ไปยังเงื้อมเขาชื่อ
นันทมูลกะ. แม้ทุกวันนี้ วลัยเหล่านั้นก็ยังดี ๆ อยู่นั่นเอง. เพราะผล
อันไหลออกแห่งกรรมนั้น ในบัดนี้ นางจึงเป็นผู้ทรงพระไตรปิฏก มี
ปัญญามาก. เพราะผลอันไหลออกแห่งการอุปัฏฐาก ซึ่งนางทำแก่พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย นางจึงได้บรรลุโสดาปัตติผล. นี้เป็นบุรพกรรม
ในสมัยพุทธันดรของนาง.
ส่วนในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ธิดาของเศรษฐีในกรุง
พาราณสีคนหนึ่ง จับแว่น นั่งแต่งตัวอยู่ในเวลามีเงาเจริญ ( เวลาบ่าย).
ลำดับนั้น นางภิกษุณีขีณาสพรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยของนางได้ไปเพื่อ
เยี่ยมนาง. จริงอยู่ นางภิกษุณี แม้เป็นพระขีณาสพก็เป็นผู้ปรารถนา
เพื่อจะเห็นตระกูลอุปัฏฐากในเวลาเย็น. ก็ในขณะนั้นหญิงรับใช้ไร ๆ ใน
สำนักของธิดาเศรษฐีไม่มีเลย. นางจึงกล่าวว่า "ดิฉันไหว้ เจ้าข้า
โปรดหยิบกระเช้าเครื่องประดับนั่น ให้แก่ดิฉันก่อน." พระเถรี คิดว่า
" ถ้าเรา จักไม่หยิบกระเช้าเครื่องประดับนี้ให้แก่นางไซร้ นางจักทำ
ความอาฆาตในเราแล้ว บังเกิดในนรก, แต่ว่า ถ้าเราจัก (หยิบ)

ให้, นางจักเกิดเป็นหญิงรับใช้ของคนอื่น; แต่ว่า เพียงความเป็นผู้รับ
ใช้ของคนอื่น ย่อมดีกว่าความเร่าร้อนในนรกแล." พระเถรีนั้นอาศัย
ความเอ็นดู จึงได้หยิบกระเช้าเครื่องประดับนั้นให้แก่นาง. เพราะผลอัน
ไหลออกแห่งกรรมนั้น นางจึงเป็นคนรับใช้ของคนเหล่าอื่น.

พระศาสดาเสด็จมาแสดงธรรมที่ธรรมสภา
รุ่งขึ้นวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า หญิง ๕๐๐
มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ถูกไฟไหม้แล้วในตำหนัก, พวกญาติของ
พระนางมาคันทิยา ถูกจุดไฟอันมีฟางเป็นเชื้อไว้เบื้องบนแล้วทำลายด้วย
ไถเหล็ก, พระนางมาคันทิยา ถูกทอดด้วยน้ำมันอันเดือดพล่าน, ในคน
เหล่านั้น ใครหนอแล ? ชื่อว่าเป็นอยู่, ใคร่ ? ชื่อว่าตายแล้ว."
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย
นั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูลว่า " ด้วย
เรื่องชื่อนี้ " ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ประมาทแล้ว, คนเหล่านั้น แม้เป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ก็ชื่อว่าตายแล้วโดยแท้;
คนเหล่าใด ไม่ประมาทแล้ว, คนเหล่านั้น แม้ตายแล้ว ก็ชื่อว่ายังคง
เป็นอยู่; เพราะฉะนั้น พระนางมาคันทิยา จะเป็นอยู่ก็ตาม ตายแล้วก็ตาม
ก็ชื่อว่าตายแล้วทีเดียว หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข แม้
ตายแล้ว ก็ชื่อว่าเป็นอยู่นั่นเทียว; ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าผู้ไม่ประมาท
ตายแล้ว ชื่อว่าย่อมไม่ตาย; ดังนี้แล้ว ได้ภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า

๒. อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา
เอตํ วิเสสโต ตฺวา อปฺปมาทมฺหิ ปณฺฑิตา
อปฺปมาเท ปโมทนฺตื อริยานํ โคจเร รตา
เต ฌายิโน สาตติถา นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกมา
ผุสนฺติ ธีรา นิพฺพานํ โยคกฺเขมํ อนุตฺตรํ.

"ความไม่ประมาทเป็นเครื่องถึงอมตะ(๑) ความ
ประมาทเป็นทางแห่งมัจจุ ผู้ไม่ประมาทแล้ว
ชื่อว่าย่อมไม่ตาย: ผู้ใดประมาทแล้ว ผู้นั้นย่อม
เป็นเหมือนคนตายแล้ว; บัณฑิตรู้ความนั่นโดย
แปลกกันแล้ว (ตั้งอยู่ ) ในความไม่ประมาท
บันเทิงอยู่ในความไม่ประมาท: ยินดีในธรรม
เป็นที่โคจรของพระอริยะทั้งหลาย, บัณฑิตผู้ไม่
ประมาทเหล่านั้น มีความเพ่ง มีความเพียรเป็น
ไปติดต่อ. บากบั่นมั่นเป็นนิตย์ เป็นนักปราชญ์
ย่อมถูกต้องพระนิพพาน อันเป็นแดนเกษมจาก
โยคะอันยอดเยี่ยม."

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมาโท ย่อมแสดงเนื้อความกว้าง
คือ ถือเอาเนื้อความกว้างตั้งอยู่. จริงอยู่ พระพุทธพจน์ คือพระไตรปิฎก
แม้ทั้งสิ้น ซึ่งอาจารย์ทั้งหลายนำมากล่าวอยู่ ย่อมหยั่งลงสู่ความไม่ประมาท
นั่นเอง, เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย

(๑. ) อมตํ ปทํ แปลว่า เป็นทางแห่งอมตะ ก็ได้ เป็นทางไม่ตาย ก็ได้.

รอยเท้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ของสัตว์ทั้งหลายผู้สัญจรไปบนแผ่นดิน, รอย
เท้าทั้งปวงนั้น ย่อมถึงความประชุมลงในรอยเท้าช้าง, รอยเท้าช้าง อัน
ชาวโลกย่อมเรียกว่าเป็นยอดแห่งรอยเท้าเหล่านั้น. เพราะรอยเท้าช้างนี้
เป็นของใหญ่ แม้ฉันใด, ภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง,
กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมด มีความไม่ประมาทเป็นรากเหง้า มีความไม่
ประมาทเป็นที่ประชุมลง, ความไม่ประมาท อันเรากล่าวว่า เป็นยอด
แห่งธรรมเหล่านั้น ฉันนั้น เหมือนกันแล(๑)."
ก็ความไม่ประมาทนั้นนั่น โดยอรรถ ชื่อว่า ความไม่อยู่ปราศจาก
สติ, เพราะคำว่า " ความไม่ประมาท" นั่น เป็นชื่อของสิอันตั้งมั่น
เป็นนิตย์.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อมตํ ปทํ, พระนิพพาน พระผู้มี-
พระภาคตรัสเรียกว่า อมตะ, เพราะพระนิพพานนั้น ชื่อว่าไม่แก่ไม่ตาย
เพราะความเป็นธรรมชาติไม่เกิด, เหตุนั้น พระองค์จึงตรัสเรียกพระ-
นิพพานว่า อมตะ, สัตว์ทั้งหลายย่อมถึง อธิบายว่า ย่อมบรรลุอมตะ
ด้วยความไม่ประมาทนี้ เหตุนั้น ความไม่ประมาทนี้จึงชื่อว่า เป็นเครื่อง
ถึง; (ความไม่ประมาท) ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า " เป็นอุบายเครื่อง
บรรลุซึ่งอมตะ" จึงชื่อว่า อมตํ ปทํ.
ภาวะคือความมัวเมา ชื่อว่า ความประมาท. คำว่า ความ
ประมาทนั่น เป็นชื่อของการปล่อยสติ กล่าวคือ ความมีสติหลงลืม.
บทว่า มจฺจุโน แปลว่า แห่งความตาย. บทว่า ปทํ คือ
เป็นอุบาย ได้แก่เป็นหนทาง. จริงอยู่ ชนผู้ประมาทแล้ว ย่อมไม่

(๑. ) สํ. มหาวาร. ๑๙/๖๕.

เป็นไปล่วงซึ่งชาติได้, แม้เกิดแล้ว ก็ย่อมแก่ด้วย ย่อมตายด้วย เหตุนั้น
ความประมาท จึงชื่อว่าเป็นทางแห่งมัจจุ คือย่อมนำเข้าหาความตาย.
บาทพระคาถาว่า อปฺปมตฺตา น มียนฺติ ความว่า ก็ผู้ประกอบ
ด้วยสติ ชื่อว่า ผู้ไม่ประมาทแล้ว. ใคร ๆ ไม่พึงกำหนดว่า "ผู้ไม่
ประมาทแล้วย่อมไม่ตาย คือเป็นผู้ไม่แก่และไม่ตาย" ดังนี้, เพราะว่า
สัตว์ไร ๆ ชื่อว่าไม่แก่และไม่ตาย ย่อมไม่มี, แต่ชื่อว่าวัฏฏะของสัตว์
ผู้ประมาทแล้ว กำหนดไม่ได้; (วัฏฏะ) ของผู้ไม่ประมาทกำหนดได้;
เหตุนั้น สัตว์ผู้ประมาทแล้ว แม้เป็นอยู่ ก็ชื่อว่าตายแล้วโดยแท้ เพราะ
ความเป็นผู้ไม่พ้นจากทุกข์ มีชาติเป็นต้นได้, ส่วนผู้ไม่ประมาท เจริญ
อัปปมาทลักษณะแล้ว ทำให้แจ้งซึ่งมรรคและผลโดยฉับพลัน ย่อมไม่
เกิดในอัตภาพที่ ๒ และที่ ๓; เหตุนั้นสัตว์ผู้ไม่ประมาทเหล่านั้น เป็น
อยู่ก็ตาม ตายแล้วก็ตาม ชื่อว่าย่อมไม่ตายโดยแท้.
บาทพระคาถาว่า เย ปมตฺตา ยถา มตา ความว่า ส่วนสัตว์
เหล่าใดประมาทแล้ว, สัตว์เหล่านั้น ย่อมเป็นเหมือนสัตว์ที่ตายแล้ว
ด้วยการขาดชีวิตินทรีย์ มีวิญญาณไปปราศแล้วเช่นกับท่อนฟืนฉะนั้นเทียว
เพราะความที่ตนตายแล้วด้วยความตาย คือ ความประมาท; จริงอยู่
แม้จิตดวงหนึ่งว่า " เราจักถวายทาน, เราจักรักษาศีล เราจักทำอุโบสถ
กรรม" ดังนี้ ย่อมไม่เกิดขึ้น แม้แก่เขาทั้งหลายผู้เป็นคฤหัสถ์ก่อน,
จิตดวงหนึ่งว่า "เราจักบำเพ็ญวัตรทั้งหลาย มีอาจริยวัตรและอุปัชฌาย-
วัตรเป็นต้น, เราจักสมาทานธุดงค์, เราจักเจริญภาวนา" ดังนี้ ย่อม
ไม่เกิดขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้น แม้ผู้เป็นบรรพชิต ดังจิตดวงหนึ่งไม่เกิดขึ้น
แก่สัตว์ที่ตายแล้วฉะนั้น, สัตว์ผู้ประมาทแล้วนั้น จะเป็นผู้มีอะไรเป็น

เครื่องกระทำให้ต่างจากสัตว์ผู้ตายแล้วเล่า ? เพราะฉะนั้น ย่อมเป็นเหมือน
คนตายแล้ว."
บาทพระคาถาว่า เอตํ วิเสสโต ตฺวา ความว่า รู้ความนั้น
โดยแปลกกันว่า " การแล่นออกจากวัฏฏะของผู้ประมาทแล้วย่อมไม่มี,
ของผู้ไม่ประมาทแล้ว มีอยู่."
มีปุจฉาว่า "ก็ใครเล่า ย่อมรู้ความแปลกกันนั่น ?"
มีวิสัชนาว่า " บัณฑิตทั้งหลาย ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทย่อมรู้."
อธิบายว่า บัณฑิต คือผู้มีเมธา ได้แก่ ผู้มีปัญญาเหล่าใด ตั้งอยู่
ในความไม่ประมาทของตนแล้ว เจริญความไม่ประมาทอยู่ บัณฑิตเหล่า
นั้น ย่อมรู้เหตุอันแปลกกันนั่น.
บาทพระคาถาว่า อปฺปมาเท ปโมทนฺติ ความว่า บัณฑิตเหล่านั้น
ครั้นรู้อย่างนี้แล้ว ย่อมบันเทิง คือ เป็นผู้มีหน้ายิ้มแย้ม ได้แก่ ยินดี
ร่าเริง ในความไม่ประมาทของตนนั้น.
บาทพระคาถาว่า อริยานํ โคจเร รตา ความว่า บัณฑิตเหล่า
นั้น บันเทิงอยู่ในความไม่ประมาทอย่างนั้น เจริญความไม่ประมาทนั้น
แล้ว ย่อมเป็นผู้ยินดี คือ ยินดียิ่งในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ เเยกออก
เป็นสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น และในโลกุตรธรรม ๙ ประการ อันนับ
ว่าเป็นธรรมเครื่องโคจรของพระอริยะทั้งหลาย คือ พระพุทธเจ้า พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
สองบทว่า เต ฌายิโน ความว่า บัณฑิตผู้ไม่ประมาทเหล่านั้น
เป็นผู้มีความเพ่งด้วยฌานทั้งสองอย่าง คือ ด้วยอารัมมณูปนิชฌาน กล่าวคือ สมาบัติ ๘ (๑), และด้วยลักขณูปนิชฌาน กล่าวคือ วิปัสสนามรรค
และผล.
บทว่า สาตติกา ความว่า เป็นผู้มีความเพียร ซึ่งเป็นไปทาง
กายและทางจิต เป็นไปแล้วติดต่อ จำเดิมแต่กาลเป็นที่ออกบวชจนถึง
การบรรลุพระอรหัต.
บาทพระคาถาว่า นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกมา ความว่า ผู้ประกอบ
ด้วยความเพียรเห็นปานนี้ว่า "ผลนั้นใด อันบุคคลพึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยว
แรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ ยัง
ไม่บรรลุผลนั้น แล้วหยุดความเพียรเสีย จักไม่มี(๒)" (เช่นนี้) ชื่อว่า
บากบั่นมั่น ชื่อว่า เป็นไปแล้วเป็นนิตย์ เหตุไม่ท้อถอยในระหว่าง.
ในคำว่า ผุสนฺติ นี้ พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ :-
การถูกต้องมี ๒ คือ ญาณผุสนา (การถูกต้องด้วยญาณ),
วิปากผุสนา ( การถูกต้องด้วยวิบาก). ในผุสนา ๒ อย่างนั้น มรรค ๔
ชื่อว่า ญาณผุสนา. ผล ๔ ชื่อว่า วิปากผุสนา. ในผุสนา ๒ อย่างนั้น
วิปากผุสนา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประสงค์เอาในบทว่า ผุสนฺติ นี้.
บัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์ เมื่อทำนิพพานให้แจ้งด้วยอริยผล ชื่อว่า ย่อม
ทำนิพพานให้แจ้งด้วยวิปากผุสนา.
บาทพระคาถาว่า โยคกฺเขมํ อนุตฺตรํ ความว่า (ซึ่งนิพพาน)

(๑. ) สมาบัติ ๘ คือปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน รวมเรียกว่า รูปสมาบัติ ๔.
อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รวมเรียกว่า
อรูปสมาบัติ ๔.

(๒. ) สัง. นิ. ๑๖/๓๔.

อันเป็นแดนเกษม คือ ไม่มีภัย จากโยคะ ๔ (๑ ) อันยังมหาชนให้จมลงใน
วัฏฏะ ชื่อว่า ยอดเยี่ยม เพราะความเป็นสิ่งประเสริฐกว่าโลกิยธรรม
และโลกุตรธรรมทั้งปวง.
ในที่สุดแห่งเทศนา ชนเป็นอันมาก ได้เป็นพระอริยบุคคล มี
โสดาบันเป็นต้น. เทศนา เป็นกถามีประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.
เรื่องพระนางสามาวดี จบ.

(๑. ) โยคะ ๔ กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะ อวิชชาโยคะ.

No comments:

Post a Comment

Add your comment here.